
เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – แทบจะไม่มีมหาวิทยาลัยระดับภูมิภาคใดในประเทศไทยที่ต้องเผชิญโจทย์ซับซ้อนเท่ากับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) ในวันนี้ โจทย์นั้นไม่ใช่แค่ “ผลิตบัณฑิตให้เพียงพอกับตลาดแรงงาน” อีกต่อไป แต่เป็นการสร้างกำลังคนที่เข้าใจทั้งเศรษฐกิจท้องถิ่นและเศรษฐกิจภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รู้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีความสามารถทางภาษาและวัฒนธรรมข้ามชาติ และที่สำคัญต้องเชื่อมโยงกับห่วงโซ่เศรษฐกิจจีน–ไทยที่กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ของภาคเหนือ
ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนจากการที่ รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย นำคณะผู้บริหารเดินทางเยือนมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 เพื่อหารือและขยายความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับสองสถาบันการศึกษา ได้แก่ Yuxi Normal University และ Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College ซึ่งเป็นการยกระดับความร่วมมือทางวิชาการจากระดับปริญญาตรีสู่ระดับบัณฑิตศึกษา พร้อมวางรากฐานหลักสูตรด้านเทคโนโลยีอนาคตและอาชีพแห่งวันพรุ่งนี้
นี่ไม่ใช่การไปลงนาม MOU เพื่อรูปแบบ หากแต่เป็นการวางกรอบการผลิตบุคลากรให้ “ตรงกับอนาคต” ของเชียงรายและของภาคเหนือตอนบน
21 ปีแห่งความร่วมมือที่ไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ทางวิชาการ จาก “ภาษาไทย–วัฒนธรรมไทย” สู่ “ศูนย์กลางการพัฒนาครูภาษาจีนระดับภูมิภาค”
ช่วงเช้า คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย เข้าพบหารือกับ Yuxi Normal University เมืองยวี่ซี มณฑลยูนนาน โดยมี Prof. Dr. Yang Wei รองอธิการบดีของ Yuxi Normal University นำทีมผู้บริหารให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ การพบกันครั้งนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ยาวนานถึง 21 ปี ภายใต้โครงการความร่วมมือ 2+2 หรือ Duo-Degree สาขาภาษาและวัฒนธรรมไทย
โครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้นักศึกษาจีนมาเรียนรู้ภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันนักศึกษาจาก มรภ.เชียงราย ก็เดินทางไปเสริมทักษะภาษาจีนและเรียนรู้วัฒนธรรมยูนนานในสภาพแวดล้อมจริง ตัวเลขสะสมชี้ให้เห็นความต่อเนื่องที่ยั่งยืน ไม่ใช่ความร่วมมือเชิงสัญลักษณ์ชั่วคราว
ข้อมูลความร่วมมือทางวิชาการ (สะสมจนถึงปัจจุบัน)
ตัวเลขเหล่านี้เล่าความจริงสำคัญ 2 ประการ
หนึ่ง, สายสัมพันธ์ไทย–จีนในระดับมหาวิทยาลัยภูมิภาคไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถูกวางไว้และขยายผลอย่างเป็นระบบยาวนานกว่าสองทศวรรษ แสดงให้เห็นการพัฒนาความเข้าใจข้ามพรมแดนในระดับมนุษย์ (people-to-people connectivity) ไม่ใช่แค่ในระดับรัฐหรือภาคธุรกิจ
สอง, โครงสร้างความร่วมมือไม่หยุดอยู่ที่ “การแลกเปลี่ยนระยะสั้น” แต่เริ่มเคลื่อนไปสู่การบูรณาการหลักสูตรและการออกแบบเส้นทางวิชาชีพร่วมกันในระยะยาว
การหารือครั้งล่าสุดระหว่าง มรภ.เชียงราย และ Yuxi Normal University สะท้อนพัฒนาการนี้อย่างชัดเจน โดยมีการพูดคุยถึงการขยับระดับความร่วมมือจากปริญญาตรี สู่ระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในบางสาขา เช่น พละศึกษา กฎหมาย และการค้าระหว่างประเทศ
การหารือร่วม มีดังนี้
ที่สำคัญ มีการยืนยันว่าในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ Prof. Dr. Cao Bingxue ผู้อำนวยการศูนย์ภาษาและอักษรจีนของ Yuxi Normal University จะเดินทางมายังมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เพื่อหารือการดำเนินงานเชิงปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความร่วมมือไม่หยุดอยู่บนกระดาษ
กล่าวได้ว่า ความร่วมมือระหว่าง มรภ.เชียงราย และ Yuxi Normal University ไม่ใช่ “กิจกรรมต่างประเทศ” หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์การสร้างทุนมนุษย์ระดับจังหวัดและภูมิภาค” อย่างเป็นระบบ
จากห้องเรียนสู่โรงงาน ซ่อม EV จากแปลงเกษตรสู่ห้องแล็บ AI: โจทย์ใหม่จาก Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย ได้เดินทางต่อไปยัง Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College โดยมี Prof. Yang Fei เลขาธิการพรรคประจำสถาบัน และ Prof. Jing Yang อธิการบดี พร้อมคณะผู้บริหารของสถาบันฝั่งจีนให้การต้อนรับอย่างเป็นมิตรและเป็นทางการ
ต่างจาก Yuxi Normal University ซึ่งเน้นการพัฒนาครู นักภาษาศาสตร์ และบุคลากรด้านมนุษยศาสตร์–สังคมศาสตร์ สถาบันแห่งนี้มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการประยุกต์ใช้งานจริง (applied technology) ในสาขาที่สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค เช่น
ในการหารือ ได้มีการวางกรอบความร่วมมือเชิงปฏิบัติที่มุ่ง “ยกระดับกำลังคน” ในพื้นที่เชียงรายและภาคเหนือตอนบน โดยไม่ต้องรอส่วนกลาง ได้แก่
ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบแนวทางจัดตั้ง “ศูนย์ฝึกปฏิบัติการซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า” ที่เชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ให้นักศึกษาได้ทดลอง แต่เพื่ออบรมเชิงวิชาชีพจริงให้กับนักศึกษา ช่างเทคนิค และแรงงานฝีมือในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อเตรียมรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม EV ในอนาคตอันใกล้
การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยสัญญาณทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีโครงสร้างโลจิสติกส์เชื่อมจีน อาจมีบทบาทเพิ่มขึ้นทั้งในฐานะจุดซ่อมบำรุง ศูนย์กระจายชิ้นส่วน หรือฐานทดลองบริการหลังการขายของค่ายผู้ผลิตจีน
หากศูนย์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงที่เชียงราย หมายความว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งเดิมถูกมองว่าเน้นครู ศิลปศาสตร์ และงานพัฒนาชุมชน จะมีบทบาทใหม่ในฐานะ “สถาบันฝึกอบรมเทคนิคขั้นสูง” ด้าน EV ให้กับภูมิภาค
มีการหารือถึงการจัดหลักสูตรร่วมในสาขาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI, EV, อากาศยาน รวมถึงโครงการฝึกงานที่ออกแบบร่วมระหว่าง
กล่าวคือ นี่คือการนำรูปแบบ “Triple Partnership” หรือความร่วมมือ 3 ฝ่าย (เอกชน–สถาบันจีน–สถาบันไทย) มาใช้ในระดับจังหวัดโดยตรง เพื่อให้ผู้เรียนไม่ได้จบออกมาพร้อมใบปริญญาเพียงอย่างเดียว แต่จบออกมาพร้อมทักษะวิชาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการทันที
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงรูปแบบการแลกเปลี่ยนนักศึกษาทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมระบบเทียบโอนหน่วยกิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้างในการไปศึกษาต่อในต่างประเทศของนักศึกษาไทย โดยเฉพาะนักศึกษาที่ไม่ได้มาจากครอบครัวรายได้สูง แต่ต้องการโอกาสการยกระดับทักษะมืออาชีพในเวทีนานาชาติ
Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College แสดงความพร้อมในการร่วมพัฒนาเส้นทางการศึกษาต่อเนื่องกับ มรภ.เชียงราย ให้สอดคล้องกับอาชีพสมัยใหม่ เช่น ช่างเทคนิค EV นักเทคโนโลยีระบบราง นักวิชาชีพด้านอากาศยาน นักวิเคราะห์ระบบ AI ฯลฯ
จุดสำคัญคือโครงสร้างนี้จะช่วย “ยกระดับคนทำงาน” ให้สามารถเติบโตตามสายวิชาชีพโดยไม่ต้องออกจากพื้นที่บ้านเกิด และเปิดโอกาสให้บุคลากรในท้องถิ่นที่เริ่มจากทักษะสายปฏิบัติการ (hands-on skill) สามารถเติบโตจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเชิงยุทธศาสตร์
ทั้งสองฝ่ายวางกรอบร่วมกันในการแลกเปลี่ยนอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรม และนักวิจัย เพื่อให้เกิดการยกระดับความรู้ในสถาบันทั้งสองแบบสองทาง ไม่ใช่เพียงให้ไทยไปรับเทคโนโลยีจากจีนเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ มรภ.เชียงราย ส่งบุคลากรไปสอนหรือถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านภูมิภาคศึกษา ภาษา วัฒนธรรมชายแดน และเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของฝั่งไทยเช่นกัน
คณะผู้บริหาร มรภ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานที่ปฏิบัติการจริงของสถาบันจีน เช่น
การเยี่ยมชมดังกล่าวมีความหมายมากกว่าการดูงาน เพราะสะท้อน “รูปแบบการสอนที่ยึดโรงปฏิบัติการเป็นฐาน” (Lab-based / Workshop-based Learning) ซึ่งเป็นรูปแบบการผลิตบุคลากรสายเทคนิคที่หลายพื้นที่ในไทยยังขาดอยู่ การนำโมเดลนี้กลับมาประยุกต์ใช้ในเชียงรายจึงตีความได้ว่า ราชภัฏเชียงรายต้องการขยับบทบาทตนเองจาก “มหาวิทยาลัยครู” ไปเป็น “ศูนย์กลางการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่ของลุ่มน้ำโขง”
จากความร่วมมือสู่ยุทธศาสตร์จังหวัด เชียงรายกับบทบาท “ประตูสู่จีน” ที่กำลังเป็นจริง
เชียงรายคือจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย และเป็นจุดเชื่อมเศรษฐกิจ การศึกษา แรงงาน และโลจิสติกส์ ระหว่างไทย จีน ลาว และเมียนมา พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ท่องเที่ยว หรือพื้นที่ชายแดนทางวัฒนธรรมอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “จุดรองรับการไหลบ่าของเทคโนโลยีและโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่จากจีนสู่ไทย”
ความร่วมมือของ มรภ.เชียงราย กับสถาบันการศึกษาชั้นนำในมณฑลยูนนานจึงต้องอ่านในเชิงยุทธศาสตร์ด้วยว่า
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา: การเดินทางครั้งนี้คือการขยับราชภัฏเชียงรายจาก “สถาบันผลิตครู” ไปสู่ “โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัด”
มรภ.เชียงรายในบทบาทใหม่ สถาบันการศึกษาหรือโครงสร้างพื้นฐานการพัฒนาบุคลากรของภูมิภาค?
เมื่อมองภาพรวมจากทั้งสองการหารือ จุดที่เห็นชัดคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายกำลังวางตัวเองในสามบทบาทหลักพร้อมกัน
ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวโน้มใหญ่ของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจภูมิภาค ที่กำลังเคลื่อนจาก “การผลิตแบบแรงงานราคาถูก” สู่ “การผลิตมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีและทักษะเฉพาะทาง” รวมถึงสอดรับบริบทโลกที่เปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การปรับตัวต่อสภาวะภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical shifts) และการเติบโตของอุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจพลังงานสะอาด
เสียงสะท้อนจากผู้บริหาร “นี่ไม่ใช่การไปเยี่ยม นี่คือการไปวางระบบอนาคตของเชียงราย”
ภายหลังการประชุมและการเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการต่าง ๆ คณะผู้บริหารของ มรภ.เชียงราย ระบุถึงเจตนารมณ์ร่วมในทิศทางเดียวกันว่า ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการยกระดับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่คือการสร้างช่องทางใหม่ให้เยาวชน ครู นักศึกษา แรงงานเทคนิค และผู้ประกอบการในพื้นที่ มีโอกาสก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่อย่างมีศักดิ์ศรีและแข่งขันได้จริง
แนวทางนี้ยังสอดรับกับวิสัยทัศน์การพัฒนาจังหวัดเชียงรายในฐานะ “จังหวัดชายแดนเชิงยุทธศาสตร์” ที่ต้องการสร้างระบบเศรษฐกิจบนฐานทุนมนุษย์คุณภาพ ไม่ใช่เพียงหวังพึ่งการท่องเที่ยวเชิงฤดูกาลหรือการค้าผ่านแดนเท่านั้น
กล่าวให้ชัดกว่านั้นคือ มหาวิทยาลัยไม่ได้ทำหน้าที่ “ผลิตบัณฑิตส่งใบปริญญา” หากกำลังวางตัวเองเป็น “โครงสร้างพื้นฐานด้านบุคลากรของทั้งจังหวัดและทั้งภูมิภาคลุ่มน้ำโขง”
มองไปข้างหน้า ผลกระทบที่คาดได้ต่อจังหวัดและภูมิภาค
จากกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ สามารถคาดการณ์ผลกระทบเชิงนโยบายและสังคมในระยะกลางได้ดังนี้
หากต้องสรุปภาพรวมในประโยคเดียว การเดินทางของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายสู่มณฑลยูนนานเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 คือ “การประกาศบทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในฐานะผู้วางโครงสร้างกำลังคนยุคใหม่ให้จังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน”
ความร่วมมือกับ Yuxi Normal University คือการเสริมรากฐานด้านภาษาจีน การศึกษา ครู วิชาชีพมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ พร้อมเปิดเส้นทางสู่ปริญญาโท–เอก
ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับ Yunnan Economics Trade and Foreign Affairs College คือการปูสะพานเชื่อมระหว่างนักศึกษาไทยกับอุตสาหกรรมอนาคตจริง ๆ ทั้ง EV, AI, อากาศยาน, ระบบราง และการแพทย์แผนจีน
หากความร่วมมือเหล่านี้เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียงจังหวัดชายแดนอีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทุนมนุษย์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง – ด้วยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นหนึ่งในกำลังหลัก
นี่ไม่ใช่เพียงสัญญาในห้องประชุม หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบอนาคตของจังหวัดทั้งจังหวัด
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.