
เชียงราย, 8 ตุลาคม 2568 — ยามค่ำหลังออกพรรษา 1 วัน ลมแม่น้ำโขงพัดเอื่อยพาแสงไฟระยิบจากชุมชนบ้านสบคำ อำเภอเชียงแสน สะท้อนผิวน้ำเป็นริ้ว ยาวไปจนสุดสายตา “ไหลเรือไฟ 12 ราศี” ครั้งที่ 27 เปิดฉากขึ้นท่ามกลางเสียงสวดเบา ๆ ของคณะสงฆ์ เสียงซุ่มซ่ามของช่างไม้ที่เพิ่งยกโครงเรือไฟขึ้นค้ำยัน และเสียงผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานความหลังให้เด็ก ๆ ฟัง นี่ไม่ใช่เพียงเทศกาล แต่คือการประกาศว่า วัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงยังเต้นเป็นชีพจรของเชียงแสน และปีนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ใส่คันเร่งเพิ่ม—อัดงบสนับสนุน 350,000 บาท ขยายงานให้เข้มแข็งขึ้น ตอกย้ำแนวทาง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอ”
พิธีเปิดจัด ณ ลานกิจกรรมริมฝั่งโขง บ้านสบคำ ตำบลเวียง โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย (นายกนก) เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และ พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย–เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมงานคับคั่ง ภาพของโคมไฟที่ขึงเรียงเป็นแนวเหนือระเบียงโขง รูปทรงเรือไฟที่ถักสานด้วยไม้ไผ่และกระดาษสา กับลวดลาย “12 ราศี” อันเป็นเอกลักษณ์ ล้วนสื่อความหมายถึงการ บูชาพระพุทธเจ้า พระแม่คงคา และ ขอบคุณธรรมชาติ ผู้หล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งมาตลอดชั่วอายุคน
เรื่องเล่าจากสายน้ำ ไฟ แสง และความทรงจำของเชียงแสน
หากจะเล่าประวัติศาสตร์เชียงแสนโดยไม่มีแม่น้ำโขงก็เหมือนเล่านิทานโดยละทิ้งตัวละครเอก เมืองท่าการค้ามาช้านานแห่งนี้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากล้านนาและฝั่งลาวอย่างลึกซึ้ง “ไหลเรือไฟ” จึงไม่ใช่กิจกรรมตามฤดูกาล หากเป็นพิธีกรรมที่ชุมชนทำร่วมกัน เพื่อรับ–ส่งความหมายของชีวิต จากพรรษาสู่กาลใหม่ เมื่อไฟวิ่งตามกระแสน้ำ ชาวบ้านถือเป็นนิมิตหมายของความสว่างไสวที่จะเกิดขึ้นในปีถัดไป
ที่ บ้านสบคำ จุดบรรจบของความทรงจำจากเวียงจันทน์กับเชียงแสน พิธีนี้เข้มข้นเป็นพิเศษ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมีเชื้อสายมาจากฝั่งลาว—ลวดลายเรือไฟ จึงถูกออกแบบโดยผสานลายพิสดารแบบลาวกับเส้นเรียบง่ายแบบล้านนา ตั้งแต่ ราศีเมษ–ราศีมีน ถูกเล่าผ่านโครงไม้ไผ่ โปรยกระดาษสา ติดไฟตามจังหวะราศี และประดับเครื่องหมายมงคล เช่น นellik หรือลายเครือวัลย์ ที่เชื่อว่าเรียกความอุดมสมบูรณ์ เมื่อไฟติด—แต่ละราศีเหมือนถูกปลุกให้ “ลอยเล่าเรื่อง” ต่อผู้ชม ขณะเสียงฆ้องกลองท้องถิ่นค่อย ๆ ประคองขบวนแสงลงสู่สายน้ำ
งบ 3.5 แสนบาท กับโจทย์ใหญ่ “งานวัฒนธรรมที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง”
อบจ.เชียงราย วางงบสนับสนุน 350,000 บาท สำหรับปีนี้ โดยเปิดเผยเป้าประสงค์ไว้ชัดเจน 3 ข้อ
เงินสนับสนุนก้อนนี้แม้ไม่ใหญ่เท่าโครงการยักษ์ แต่หาก บริหารแบบ “งานเล็ก–ผลลัพธ์ยาว” จะกลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้เทศกาลเดินต่อได้อย่างเข้มแข็ง องค์ประกอบสำคัญคือ การจัดระเบียบพื้นที่ (ตลาดชุมชน–จุดจอดรถ–จุดชม) ความปลอดภัย (เรือ–ริมตลิ่ง–การจราจร) และ การสื่อสารข้อมูล (ตารางพิธี–เส้นทางเข้าถึง–ข้อปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม) ให้ “ทดลอง–เรียนรู้–อัปเกรด” ทุกปี
สองฝั่งแม่น้ำ โครงการเดียวกัน เชื่อมลาว–ไทยผ่านไฟและศรัทธา
เชียงแสนกับฝั่งลาวตรงข้ามมีประเพณีคล้ายคลึงกันมานาน ปีนี้ผู้จัดยังย้ำ มิติความร่วมมือสองฝั่งโขง ทั้งการเชิญคณะศิลปวัฒนธรรมจาก สปป.ลาว มาร่วมแสดง การสวดเจริญพระพุทธมนต์ร่วมกัน และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การทำเรือไฟแบบ “หาบ–ขึง–ลอย” ให้ปลอดภัยและงามตามครรลอง เมื่อเรือไฟที่ประดับ สัญลักษณ์ 12 ราศี ล่องไปพร้อมกันในคืนเดียว ภาพที่เกิดขึ้นไม่เพียงสวยงาม แต่เป็น คำประกาศความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ว่าพรมแดนธรรมชาติไม่อาจขวางกั้นความศรัทธาและวัฒนธรรมร่วม
จากงานบุญสู่โมเดลเศรษฐกิจชุมชน เงินใหม่ไหลเข้า—ไม่ใช่แค่ไหลผ่าน
คำถามเชิงนโยบาย คือ เทศกาลนี้ช่วยเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน? คำตอบอยู่ที่ “โครงสร้างการใช้จ่ายของผู้มาเยือน” หากเทศกาลออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว 1–2 วันควบคู่—เช่น แวะ วัดพระธาตุผาเงา จุดชมโค้งน้ำโขง, ตลาดชุมชนบ้านสบคำ, พิพิธภัณฑ์เขตโบราณสถานเชียงแสน—จะเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่อหัว ทั้งที่พัก อาหาร ของที่ระลึก และการเดินทางในพื้นที่
แนวทางที่ผู้จัดพยายามผลักดัน (ตามนโยบาย “เที่ยวเชียงรายทั้งปีมีดีทุกอำเภอ”) ได้แก่
หากทำได้สม่ำเสมอ เทศกาลจะ “ผลิตเงินใหม่” ให้ชุมชน มากกว่าจะเป็นเพียง “เงินผ่าน” ที่ไหลไปกับขบวนพ่อค้าเร่
ศิลป์พิธีกรรมในรายละเอียด ช่าง–เยาวชน–พระสงฆ์ และบทบาทที่เกาะเกี่ยวกัน
เบื้องหลังเรือไฟหนึ่งลำจะมี ช่างหลัก 4–6 คน ควบคุมงานโครงไม้ไผ่ ขึงลวด เดินไฟ และปรับสมดุลให้ลอยน้ำได้ดี กลุ่ม เยาวชนอาสา รับหน้าที่ตัดกระดาษ ติดลาย–ลงสี จัดทำป้ายราศี และประดับโคม ส่วน พระสงฆ์ เป็นผู้วางพิธีกรรม เจริญพระพุทธมนต์ อธิษฐานเปิดงาน และ “ส่งเรือไฟ” ลงสู่แม่น้ำโดยสงบและเป็นมงคล
การมีส่วนร่วมของ โรงเรียน–วัด–หน่วยงานท้องถิ่น ยังช่วยให้พิธี—ซึ่งเคยอยู่บนบ่าคนรุ่นพ่อแม่—ถูกส่งต่อสู่รุ่นลูกหลานอย่างเป็นระบบ เยาวชน เรียนรู้ทักษะฝีมือ จริง จับต้องไม้ไผ่จริง—ไม่ใช่ผ่านหน้าจอ—และเห็นคุณค่า “งานบุญที่ทำด้วยมือ” มากกว่าเป็นเพียง “งานโชว์เพื่อการท่องเที่ยว”
ความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม งานริมโขงยุคใหม่ต้อง “งาม–สะอาด–ปลอดภัย”
ผู้จัดย้ำเกณฑ์ความปลอดภัย 3 ชั้น
ด้านสิ่งแวดล้อม มี แผนเก็บกวาดหลังงาน พร้อมการคัดแยกขยะและ การเก็บชิ้นส่วนเรือไฟ คืนจากแม่น้ำ โดยประสานเรือชาวบ้านและอาสาสมัคร เพื่อให้โขง “สว่างเพียงชั่วคืน—สะอาดไปอีกนาน”
นัยเชิงวัฒนธรรม Soft Power ที่ชี้นำด้วยความอ่อนโยน
ในโลกที่เมืองท่องเที่ยววิ่งแข่งกันด้วยคอนเสิร์ตหมื่นคนและไฟงานอลังการ เชียงแสนเลือกยืนอยู่ในเลนของ “ความอ่อนโยน”—งานวัฒนธรรมที่ “เล็ก–ละเอียด–ลึก” และมีเรื่องเล่าของตัวเอง 12 ราศี ไม่ได้เป็นเพียงลวดลายสวยงาม แต่สื่อถึง วงจรชีวิต–เวลา–ฟ้า–ดิน ที่ผู้คนลุ่มน้ำโขงอยู่กับมันมานับร้อยปี การสนับสนุนของ อบจ. ในปีนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มสีสันชั่วครู่ แต่คือ การค้ำยันเสาหลักทางจิตวิญญาณของพื้นที่ ให้สูงพอจะมองเห็นจากไกล และมั่นคงพอให้ลูกหลานปีนขึ้นไปยืนได้
ก้าวต่อไป ทำอย่างไรให้งานปีที่ 27 เป็น “บันได” ไม่ใช่ “เพดาน”
เพื่อให้งานเติบโตอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญการจัดการเทศกาลวัฒนธรรมมักเสนอ 4 กลไก
หากทำได้ งานปีที่ 27 จะเป็นเพียง “ขั้นบันได” สู่เวทีใหญ่ที่ยังคงหัวใจชุมชน และเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจ–วัฒนธรรมไปพร้อมกัน
เสียงจากชุมชนและผู้จัด แม้ไม่ใช่คำปราศรัยยาว แต่ชัดในเจตนา
แม้ในพิธีเปิด ผู้บริหารและชุมชนไม่ได้ให้คำปราศรัยยืดยาวต่อสื่อ แต่การจัดสรรงบ การยืนเคียงของ นายก อบจ.เชียงราย–เจ้าคณะจังหวัด–ผู้นำท้องถิ่น และการเข้าร่วมของประชาชน คือ “ถ้อยคำในภาคปฏิบัติ” ที่ดังพอแล้วว่า—เชียงแสนตั้งใจจะรักษาและยกระดับมรดกริมโขง ให้เป็นเสาหลักของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่เรียนรู้ของคนรุ่นหลัง
คู่มือสั้น ๆ ก่อนถึงริมน้ำ
ไฟที่สว่างบนสายน้ำ—เพื่อเห็นทางเดินของทั้งเมือง
“ไหลเรือไฟ 12 ราศี” อาจกินเวลาแค่คืนเดียว แต่ผลสะเทือนของมันยาวนานกว่านั้น แสงไฟที่ล่องไปตามน้ำทำให้เราเห็นหลายอย่าง—เห็นเศรษฐกิจชุมชนที่ขยับได้ด้วยงานเล็ก, เห็นเยาวชนที่ได้เรียนรู้งานมือและพิธีกรรม, เห็นความร่วมมือสองฝั่งโขง, และ เห็นความตั้งใจของจังหวัด ที่ใช้วัฒนธรรมเป็นหัวเรือของการท่องเที่ยวตลอดปี งบ 350,000 บาท จึงไม่ใช่เพียงเลขเชิงบัญชี หากคือ การลงทุนในความทรงจำร่วม ซึ่งคืนผลตอบแทนเป็นศักดิ์ศรีและรายได้ให้ชุมชน
เมื่อไฟดวงสุดท้ายดับลงในสายน้ำ ภาพที่ค้างตาอาจเป็นลายราศีที่ยังอุ่น แต่สิ่งที่ค้างใจคือ ความรู้สึกว่าเมืองนี้ยังสว่าง—ด้วยคนของเมืองนี้เอง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.