เศรษฐกิจเชียงรายฟื้นตัวสวนกระแสชาติ ขับเคลื่อนด้วยการท่องเที่ยว แต่ยังเผชิญปัญหาเกษตรกร-หนี้ครัวเรือนสูง

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 – ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนจากคลื่นความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและปัญหาความยากจนที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคนในปี 2567 จังหวัดเชียงรายกลับโดดเด่นด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง โดยคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.1% ในปี 2567 และเร่งตัวขึ้นเป็น 3.1% ในปี 2568 แต่ยังต้องเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ

ภาพรวมเศรษฐกิจไทย สัญญาณเตือนท่ามกลางการเติบโต

รายงานล่าสุดจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยให้เห็นภาพที่น่าเป็นห่วงของสถานการณ์ความยากจนในประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 3.41% ในปี 2566 โดยภาคเกษตรแบกรับภาระหนักที่สุด มีสัดส่วนคนจนถึง 45.49% ของคนจนทั้งหมด

“ลักษณะพลวัตของความยากจนทำให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง ‘จน’ และ ‘ไม่จน’ ได้ตามปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม หรือผลกระทบจากภัยธรรมชาติ” รายงาน สศช. ระบุ

ทั้งนี้ เส้นความยากจนได้ปรับสูงขึ้นเป็น 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาท ขณะที่กลุ่ม “คนจนมาก” ที่มีรายได้เพียง 615 บาทต่อคนต่อเดือน มีจำนวน 879,000 คน

ในมิติการค้าระหว่างประเทศ ไทยเผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันกับเวียดนามในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ตลาดอีคอมเมิร์ซกลับเป็นจุดสว่างเมื่อคนไทยครองแชมป์ช้อปออนไลน์สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก

ภาคเหนือ ระหว่างโอกาสและความเปราะบาง

ภาคเหนือซึ่งยังคงพึ่งพาภาคเกษตรเป็นหลัก เผชิญกับความผันผวนรุนแรงจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง วิกฤตราคาลำไยในปี 2568 ที่ผลผลิตล้นตลาดควบคู่กับภาวะน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูก ได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อรายได้ของเกษตรกร

แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ภาครัฐได้เข้ามาแทรกแซงด้วยมาตรการเปิดจุดรับซื้อเพิ่มและการเชื่อมโยงการแปรรูป ขณะที่การค้าชายแดนของภาคเหนือยังคงแสดงศักยภาพด้วยมูลค่าดุลการค้าเฉลี่ยสูงถึง 90,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมาส่งผลกระทบต่อการค้าผ่านด่านแม่สาย ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์การค้าไปยังเส้นทางอื่น เชียงราย ดาวเด่นแห่งการฟื้นตัว ท่ามกลางความท้าทายของภาพรวมประเทศ จังหวัดเชียงรายกลับโชว์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยการคาดการณ์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจของจังหวัดจะขยายตัว 2.1% ในปี 2567 และเร่งตัวขึ้นเป็น 3.1% ในปี 2568

การท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักสู่ความสำเร็จ

ความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดคือภาคการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 2568 พร้อมได้รับตำแหน่ง “เมืองรองด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ” โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 55%

น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือการจัดอันดับให้เชียงรายเป็น “เมืองที่ปลอดภัยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หญิง” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความมั่นใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาเยือนซ้ำ

ภาคบริการและการท่องเที่ยวคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง 7.1% ในปี 2567 และ 6.7% ในปี 2568 ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจังหวัด

การลงทุนสาธารณะ มูลฐานแห่งอนาคต

ภาครัฐได้อนุมัติงบกลางกว่า 363.62 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัยปลายปี 2567 และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์

ในขณะเดียวกัน การบินไทย (ทอท.) ได้อนุมัติงบประมาณ 5.7 พันล้านบาทเพื่อยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย สู่การเป็น “ศูนย์กลาง MRO (Maintenance, Repair, and Overhaul) ของภูมิภาค” ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจการบิน

ภาคเอกชน ความเชื่อมั่นในศักยภาพ

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ได้แสดงความเชื่อมั่นด้วยการเปิดสาขาใหม่ในเชียงรายด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของตลาดในพื้นที่และการเติบโตของกำลังซื้อของผู้บริโภค ความท้าทายที่ยังคงอยู่ แม้จะมีสัญญาณบวกมากมาย แต่เชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะวิกฤตภาคเกษตรจากหัวใจเศรษฐกิจสู่จุดอ่อน ภาคการเกษตรซึ่งเคยเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ คาดว่าจะหดตัว -3.6% ในปี 2567 ก่อนจะฟื้นตัวเพียง 1.6% ในปี 2568 ปัญหาผลผลิตล้นตลาดของลำไยและราคาตกต่ำยังคงเป็นความเสี่ยงต่อรายได้ของเกษตกรจำนวนมาก

การพึ่งพาภาคการเกษตรที่มีความผันผวนสูงตามสภาพอากาศและราคาสินค้าโลก ทำให้ครัวเรือนเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์เปราะบาง

หนี้สินครัวเรือน กับดักที่บั่นทอนการเติบโต

ความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนที่มีหนี้สินสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจบั่นทอนการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน แม้ว่าจะคาดการณ์ว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 4.7% ในปี 2567 และ 5.7% ในปี 2568 แต่ภาระหนี้สินที่สูงอาจทำให้การตอบสนองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า การค้าชายแดน ระหว่างโอกาสและความไม่แน่นอนแม้การค้าชายแดนจะคาดว่าเติบโต 9.9% ในปี 2567 แต่การพึ่งพาการค้าผ่านแดนกับจีนเป็นหลัก ทำให้มีความผันผวนตามฤดูกาลผลิตของสินค้าเกษตรอย่างทุเรียน ขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมายังคงส่งผลกระทบต่อเส้นทางการค้าที่สำคัญ

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางและข้อเสนอแนะ

การวิเคราะห์จากหลายหน่วยงานชี้ให้เห็นว่า เชียงรายจำเป็นต้องมีการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อความยั่งยืน

สศช. เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ 3 ประการหลัก ได้แก่ การประเมินผลโครงการงบประมาณสูงอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางประชาชน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกษตรอย่างยั่งยืน

สำหรับเชียงราย ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้มุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว โดยการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปที่มีมูลค่าเพิ่มและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

แสงสว่างท้ายอุโมงค์

ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP per capita) ของเชียงรายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 91,736 บาทในปี 2564 เป็น 93,660 บาทในปี 2567 และ 96,561 บาทในปี 2568

การเติบโตนี้สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับการที่ผลประโยชน์จากการเติบโตนี้จะกระจายไปถึงประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเกษตรกรและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

GPP per capita หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว

GPP per capita (ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว) คืออะไร GPP per capita หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว คือตัวเลขแสดงถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าการผลิตสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายของจังหวัดเฉลี่ยต่อประชากร 1 คน

 วิธีการคำนวณ

GPP per capita = GPP ของจังหวัด ÷ จำนวนประชากรในจังหวัด

ตัวเลขเชียงราย

  • ปี 2564: 91,736 บาทต่อคนต่อปี
  • ปี 2567: 93,660 บาทต่อคนต่อปี (คาดการณ์)
  • ปี 2568: 96,561 บาทต่อคนต่อปี (คาดการณ์)

ความหมายของตัวเลข เปรียบเทียบง่ายๆ

  • หากแปลงเป็นรายเดือน: 93,660 ÷ 12 = 7,805 บาทต่อคนต่อเดือน
  • หมายความว่าเฉลี่ยแล้วคนเชียงราย 1 คนสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เดือนละ 7,805 บาท

ข้อสำคัญที่ต้องเข้าใจ

  1. ไม่ใช่รายได้จริงของคนเชียงราย – เป็นการวัดผลผลิตทางเศรษฐกิจเท่านั้น
  2. เป็นค่าเฉลี่ย – คนจริงอาจได้รับมากกว่าหรือน้อยกว่านี้มาก
  3. รวมทุกภาคส่วน – เกษตร, อุตสาหกรรม, บริการ, การท่องเที่ยว

ประโยชน์ของ GPP per capita

สำหรับนักลงทุน

  • วัดศักยภาพเศรษฐกิจของจังหวัด
  • เปรียบเทียบความแข็งแกร่งระหว่างจังหวัด

สำหรับรัฐบาล

  • วางแผนการพัฒนาและจัดสรรงบประมาณ
  • ติดตามความเจริญของจังหวัด

สำหรับประชาชน

  • เข้าใจศักยภาพเศรษฐกิจท้องถิน่
  • ประกอบการตัดสินใจลงทุนหรือทำธุรกิจ

ตำแหน่งเชียงรายในภาพรวม

ตัวเลข 96,561 บาท ในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศมาก (ประเทศไทยมี GDP per capita ประมาณ 262,633 บาทในปี 2566) สรุปโดยรวม GPP per capita เป็น “เครื่องมือวัด” ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจังหวัด ไม่ใช่เงินที่คนได้รับจริง แต่เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับการวางแผนและการลงทุน

เส้นทางสู่ความยั่งยืน

เชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่ดีของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายระดับชาติ ด้วยการขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งและการลงทุนจากภาครัฐที่เป็นระบบ

อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนของการเติบโตนี้ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ทั้งการลดการพึ่งพาภาคเกษตรที่มีความเสี่ยงสูง การจัดการหนี้สินครัวเรือน และการสร้างความมั่นคงให้กับการค้าชายแดน

การกระจายความเสี่ยง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เชียงรายสามารถเดินหน้าไปสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • การบินไทย (ทอท.)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News