
เชียงราย, 12 กันยายน 2568 – ยามสายของวานนี้ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคึกคักเป็นพิเศษ เมื่อคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ “ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” เปิดประชุมแบบลงรายละเอียด—ถอดบทเรียนจากงานเก่าที่ยังไม่ถึงฝั่ง พร้อมประกาศมาตรการใหม่ให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมตัว “ลุยเชิงรุก” กับความโปร่งใสรอบใหม่ที่เข้มขึ้น
การประชุมมี นายสนธยา ยาพิณ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน หัวข้อหลักครอบคลุม 3 วาระสำคัญ: (1) สถานะการสอบทานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ซึ่งลากยาวมาถึงปีที่ 5 (2) ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ปีงบประมาณ 2568 ของจังหวัด และ (3) การแจ้งประกาศใหม่ของ ป.ป.ช. ว่าด้วยการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 ที่จะเริ่มนับหนึ่งพร้อมกันทั่วประเทศในเดือนหน้า
คะแนน ITA ขยับขึ้น—แต่ภาพรวมจังหวัดยัง “กลาง ๆ” ในเวทีประเทศ
ข้อมูลที่เปิดเผยในที่ประชุมระบุว่า ส่วนราชการส่วนภูมิภาคของเชียงรายทำคะแนนเฉลี่ยได้ 94.83 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.22 คะแนน ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เฉลี่ย 94.03 เพิ่มขึ้น 2.41 คะแนน สะท้อนการยกระดับเชิงระบบ ทั้งด้านการเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของประชาชน และระบบกำกับภายในหน่วยงาน
อย่างไรก็ดี เมื่อลงสนามเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ ทั้ง 76 จังหวัด เชียงรายยังอยู่อันดับ 46—อยู่ในช่วง “กลางค่อนไปทางท้าย” ของประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณชัดว่า “แม้จะดีขึ้น แต่ยังไม่เร็วพอ” ในบริบทการแข่งขันระดับชาติที่เข้มข้นขึ้นทุกปี โดย ITA ถูกใช้เป็น “กล้องส่องคุณธรรม” ที่ ป.ป.ช. ออกแบบให้ประเมินทั้งจากงานเอกสารและเสียงสะท้อนจริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผ่านชุดดัชนี IIT (หน่วยงานประเมินตนเอง), EIT (คนภายนอกประเมิน), OIT (การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ)—รอบด้านตั้งแต่ออนไลน์ถึงภาคสนาม และกลายเป็นแรงกดดันเชิงบวกให้หน่วยงานเร่งปรับปรุงจุดอ่อนเฉพาะจุดอย่างต่อเนื่อง
เสียงสะท้อนจากที่ประชุมชี้ให้เห็น “สมการความท้าทาย” ที่คุ้นเคย: ตัวชี้วัดด้านเอกสารและกระบวนงานดีขึ้นรวดเร็ว แต่หมวดที่พึ่งพาประสบการณ์ผู้รับบริการจริง—อย่างคุณภาพการสื่อสารต่อสาธารณะ ความสะดวกของ e-Service และความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ—ยังต้อง “เร่งอัพเกรดประสบการณ์” ให้สัมผัสได้มากกว่าตัวเลข
คดี “ลำไยปี 2563” โครงการเก่า แต่บทเรียนใหม่เพื่อระบบคุ้มครองงบแผ่นดิน
อีกวาระที่สังคมจับตา คือ ความคืบหน้าการสอบทานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ซึ่ง ป.ป.ช.เชียงรายรายงานว่า ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 15 อำเภอ และเหลืออีก 3 อำเภอ กำลังเร่งสรุปผล ข้อมูลในเชิงนโยบายย้ำว่าโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการรัฐบาลช่วงวิกฤตปี 2563 ที่ให้หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินของรัฐ—โดยเฉพาะ ธ.ก.ส.—ดูแลจ่ายเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อประคับประคองรายได้ภาคเกษตรช่วงราคาผลผลิตผันผวนและผลกระทบจากโควิด-19
การที่ “โครงการปี 2563” ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบในปี 2568 จึงมีนัยสำคัญสองชั้น—ชั้นแรก คือการยืนยันว่าเงินภาษีต้องตรวจสอบได้แม้เวลาจะผ่านไป ชั้นที่สอง คือบทเรียนเชิงระบบว่าการกำหนดกลไกคัดกรองคุณสมบัติผู้รับสิทธิ การพิสูจน์การถือครอง/ประกอบอาชีพ และการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ต้อง “แม่นกว่าเดิม” เพื่อ ตัดวงจรผิดพลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ ลดภาระตรวจสอบปลายน้ำที่ใช้เวลายาวนาน
ย้อนไปดูโครงสร้างนโยบาย ภาครัฐเคยประกาศแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรรายชนิดพืชในช่วงดังกล่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมเงื่อนไขและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน—จากคำอธิบายของฝ่ายประชาสัมพันธ์รัฐบาลในช่วงปี 2563—และ ธ.ก.ส. เป็นกลไกนำจ่ายสำคัญสำหรับเกษตรกรที่ผ่านคุณสมบัติ โดยเปิดพื้นที่ร้องเรียนกรณีตกหล่นหรือมีปัญหาการขึ้นทะเบียน เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่ความเสียหายของงบประมาณในภายหลัง
“กฎใหม่–เกมใหม่” ยื่นบัญชีทรัพย์สิน 1 ต.ค.–30 พ.ย. ผ่านระบบ ODS
ด้านมาตรการเชิงรุก ที่ประชุมแจ้ง “การบ้านใหม่” ของหน่วยงานในจังหวัดตาม ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 103 (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2568 โดยให้ แสดงรายการ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และ ยื่นระหว่าง 2 ตุลาคม–30 พฤศจิกายน 2568 ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ODS), ยื่นด้วยตนเอง, หรือไปรษณีย์ลงทะเบียน ทั้งนี้ ผู้ยื่นสามารถขอขยายเวลา ไม่เกิน 30 วัน หากมีเหตุจำเป็น
แม้ประกาศฉบับนี้จะเป็นกรอบปฏิบัติ “รอบปี 2568” แต่สาระไม่ใช่เรื่องใหม่—การยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ ODS เป็นกลไกกลางที่ ป.ป.ช. ใช้มาหลายปี เพื่อให้ผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชี—ตั้งแต่ระดับนักบริหาร ตำแหน่งด้านการจัดซื้อ ไปจนถึงผู้รักษาการในตำแหน่ง—สามารถจัดส่งและปรับปรุงข้อมูลได้อย่างเป็นมาตรฐาน ตรวจสอบย้อนหลังได้ และลดภาระงานเอกสารของหน่วยงานต้นสังกัดลงอย่างมาก
สาระสำคัญเชิงธรรมาภิบาลของ “บัญชีทรัพย์สิน” คือการ ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนและตรวจจับความผิดปกติของการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน ที่อาจเป็นสัญญาณทุจริตได้ การขยับกรอบเวลาให้ชัด การย้ำใช้ e-Filing และกำหนดการขยายเวลาแบบมีเพดาน—ช่วยให้หัวหน้าส่วนราชการสามารถ “ล็อกจังหวะงาน” ภายในหน่วยได้ตรงกัน ลดความเสี่ยงยื่นล่าช้า และยกระดับคุณภาพข้อมูลที่เข้าสู่ระบบกลาง
เชียงรายควรเดินเกมอย่างไรต่อ? แผน 4 ชั้น เร่ง “ปิดจุดบอด–เปิดจุดแข็ง”
บนฉากทัศน์ที่ คะแนน ITA ดีขึ้น แต่ยังอยู่ “กลางตารางประเทศ” ขณะที่ คดีสอบทานงบเกษตรกรค้างท่อ ยังต้องเร่งปิดงาน เชียงรายจำเป็นต้องสลับเกียร์จาก “ขยับทีละน้อย” สู่ “บูรณาการทั้งระบบ” ดังนี้
จาก “คะแนนที่ดีขึ้น” สู่ “ระบบที่ดีพอ”—เกมยาวที่ต้องชนะด้วยความสม่ำเสมอ
ภาพรวมจากการประชุมครั้งนี้มีทั้ง ชัยชนะเชิงสัญญาณ และ การบ้านเชิงระบบ
ในเชิงคดี/โครงการ “ลำไยปี 2563” ที่คืบหน้ามาไกล—แม้ใช้เวลายาวนาน—เป็นบทเรียนสำคัญว่า ระบบควบคุมภายในและการเชื่อมฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน คือเครื่องมือป้องกันความเสียหายที่ “ถูกกว่า–เร็วกว่า” การไล่ตรวจสอบย้อนหลัง ขณะที่กฎใหม่เรื่อง บัญชีทรัพย์สิน จะเป็นด่านแรกป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน หากหน่วยงานในเชียงรายสามารถ “ทำให้เรียบง่าย–ตรงเวลา–ตรวจสอบได้” ตามกรอบของ ป.ป.ช.
แก่นของเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงคะแนน ITA หรือจำนวนสำนวนที่ปิดได้ แต่คือความสามารถของจังหวัดในการ เปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน—จาก “ทำตามเช็กลิสต์” ไปสู่ “ทำให้ประชาชนเห็นและสัมผัสได้จริง” ว่าระบบราชการ โปร่งใส–ตอบสนอง–รับผิดชอบ มากขึ้นทุกปี
และหากเชียงรายเดินเกมตามแผน 4 ชั้น—ปิดคดีค้าง เปิดข้อมูล สร้างประสบการณ์ผู้รับบริการที่ดี คุมเส้นตายด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสื่อสารเชิงรุก—“อันดับจังหวัด” จะเป็นเพียงผลพลอยได้ ของระบบที่ยั่งยืนกว่า นั่นคือ สังคมที่เชื่อมั่นว่าทุกบาทของงบประมาณ ถูกใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะจริง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.