ที่ว่าการอำเภอแม่สายปฏิรูประบบ “ยื่นขอสัญชาติไทย” เปิดทางประชาชนเข้าถึงบริการตรง ลดทุจริต-เพิ่มความโปร่งใส

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การขอสัญชาติไทยในพื้นที่ชายแดนไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง และมีประชาชนจำนวนมากยังขาดสถานะทางทะเบียนหรือสถานะทางสัญชาติ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการของรัฐ

ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยว่า ต้องผ่านตัวกลางอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บางรายที่อาจเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของคนที่ต้องการเพียงแค่ “การรับรองว่าเขาคือคนไทย”

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศฉบับสำคัญที่อาจถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของระบบราชการชายแดน” โดยระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยจะต้อง “เดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองเท่านั้น” ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และขอรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้นำชุมชนอีกต่อไป เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเสียงร้องเรียน สู่การปรับระบบ

การประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีที่มาจากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งในโซเชียลมีเดียและการยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่ามีการเรียกรับเงินในการดำเนินเรื่องสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้สถานะซึ่งอยู่ในสถานะเปราะบางและเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในระดับอำเภอ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยนายวรายุทธ  ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ที่ได้เร่งสั่งการเปิด “ห้องสถานะบุคคลและสัญชาติ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และจัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ OSS (One Stop Service) เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ โดยไม่ต้องผ่านระบบเดิมที่เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใส

ระบบใหม่ชัดเจน โปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อำเภอแม่สายได้วางแนวทางดำเนินการไว้ 3 ประการหลัก ได้แก่:

  1. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง: ผู้มีความประสงค์ต้องเดินทางมาด้วยตนเองและรับบัตรคิวที่อำเภอ โดยไม่มีการลงชื่อจองคิวล่วงหน้า
  2. จำกัดจำนวนผู้ยื่นคำร้อง: เปิดรับเพียง 50 รายต่อวัน โดยเริ่มแจกคิวเวลา 08.00 น. เพื่อควบคุมปริมาณและรักษาคุณภาพของการบริการ
  3. ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ: มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบเอกสาร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้กระจายจุดบริการ OSS ไปยังตำบลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและกระจายภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • ห้องทะเบียนราษฎร: สำหรับตำบลแม่สายและเกาะช้าง
  • อาคาร OSS กลาง: สำหรับตำบลเวียงพางคำและโป่งงาม
  • สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยไคร้: สำหรับตำบลห้วยไคร้และบ้านแซว

วิเคราะห์มิติของการเปลี่ยนแปลงก้าวใหม่ของระบบราชการไทย

  1. การต่อสู้กับทุจริตระดับรากหญ้า

การที่อำเภอแม่สายตัดระบบ “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการรับคำร้อง คือการหักวงจรแห่งการเรียกรับผลประโยชน์อย่างจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติจริงจังตามนโยบายของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับท้องถิ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ “กลไกจากข้างล่าง” มาสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ

  1. ยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การได้สถานะทางทะเบียนและสัญชาติไทย หมายถึงสิทธิในการได้รับการรักษาในระบบสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา และการเข้าถึงสวัสดิการอื่น ๆ จากรัฐ สำหรับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศมานานโดยไม่ได้รับสถานะ สิ่งนี้คือการ “เปลี่ยนชีวิต” อย่างแท้จริง

  1. นวัตกรรมการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ

การนำระบบ OSS มาใช้ เป็นสัญญาณว่า ราชการในระดับอำเภอกำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และมีแนวโน้มขยายแนวทางนี้ไปยังอำเภออื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มศักยภาพของกลไกรัฐ

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากความหวัง สู่ความเป็นจริง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มเป้าหมาย 37,987 ราย ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน บางรายเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนหรือทะเบียนบ้าน การได้สัญชาติไทยอย่างถูกต้องคือการได้ตัวตนทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ เช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และนักพัฒนาสังคม ก็จะสามารถทำงานช่วยเหลือผู้ไม่มีสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้

ข้อคิดและแนวทางในอนาคต

แม้การปฏิรูประบบในครั้งนี้จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีในการนำระบบราชการให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น การตัดวงจรการทุจริตด้วยนโยบายเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐได้โดยตรง คือแนวทางที่ควรได้รับการยกย่องและขยายผลในระดับนโยบาย

หากหน่วยงานอื่นในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการในระดับรากฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News