
ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –ได้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังจากที่ทหารไทยซึ่งลาดตระเวนพื้นที่บริเวณดังกล่าว พบว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตหรือสนามเพลาะ พร้อมสร้างจุดที่ตั้งบริเวณแนวชายแดนดังกล่าว จนต้องมีการเข้าไปเจรจาให้ถอนกำลังและยุติกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นการละเมิดบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543 เป็นครั้งที่สองในรอบปีนี้
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์บริเวณชายแดนตึงเครียดขึ้นในทันที แม้จะยังไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตแน่ชัด แต่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทะหรือความขัดแย้งขยายวงกว้าง หากไม่มีการจัดการด้วยความรอบคอบและร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย
จุดเริ่มต้นของเหตุปะทะความเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเทา
เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนตามปกติ เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาความสงบในพื้นที่ ต่อมาได้ตรวจพบว่ามีกำลังทหารจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาขุดคูสนามเพลาะ ซึ่งเป็นกิจกรรมต้องห้ามภายใต้ MOU2543 ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงว่าด้วยมาตรการรักษาความสงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สองประเทศได้ร่วมลงนามและยึดถือปฏิบัติมายาวนาน
เมื่อทหารไทยได้เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมโดยทันที ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ชายแดนตึงเครียดมากขึ้น อย่างไรก็ดี จากการปฏิบัติการของทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีรายงานการใช้กำลังรุนแรงหรือเกิดความเสียหายใดๆ แต่สถานการณ์ยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ปมปัญหา MOU2543 เส้นแบ่งที่ยังคลุมเครือ
MOU2543 เป็นบันทึกข้อตกลงสำคัญซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 ว่าด้วยการห้ามดำเนินการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ตามแนวชายแดนที่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ (Pending Boundary) โดยเฉพาะในพื้นที่พิพาทหรือยังไม่ได้ตกลงเขตแดนที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การตีความขอบเขตพื้นที่และเจตนาของ MOU2543 ในแต่ละฝ่ายยังคงแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำให้เกิดจุดอ่อนไหวและการกระทบกระทั่งเป็นระยะๆ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยุติได้ด้วยกลไกการเจรจาและการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ
บทบาทของสื่อมวลชนจุดเปลี่ยนแห่งความเข้าใจ หรือซ้ำเติมปัญหา
ภายหลังเหตุการณ์ปะทะดังกล่าว ทั้งสโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเร่งด่วน สืบเนื่องจากการสังเกตการณ์ว่ามีสื่อบางแห่ง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ได้นำเสนอข้อมูลที่ขาดแหล่งอ้างอิงชัดเจน หรือข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางในทั้งสองประเทศ
ทั้ง CCJ และ TJA แสดงความกังวลอย่างมากต่อการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะนอกจากจะเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่แล้ว ยังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองชาติที่สะสมความไว้เนื้อเชื่อใจมาอย่างยาวนาน
ข้อเรียกร้องจากสององค์กรสื่อความรับผิดชอบต่อสังคมต้องมาก่อนยอดแชร์
CCJ และ TJA ได้จัดประชุมออนไลน์ฉุกเฉินในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางรับมือสถานการณ์ข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน และได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
การแก้ไขปัญหาการทูตยังเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ทั้งสององค์กรย้ำความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้รับการคลี่คลายผ่านกลไกทางการทูต และการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกระทบต่อความสัมพันธ์อันยาวนานทั้งในระดับประชาชนและรัฐชาติ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาสามารถผ่านพ้นจุดวิกฤตลักษณะนี้ได้ด้วยสันติวิธี และการเปิดพื้นที่ให้เจรจาอย่างตรงไปตรงมา
ความเปราะบางของพรมแดนกับโอกาสในการป้องกันวิกฤต
สถานการณ์ปะทะที่ช่องบกในครั้งนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ทั้งสองประเทศยังต้องตกลงรายละเอียดกันอีกมาก ขณะที่โซเชียลมีเดียและการสื่อสารยุคใหม่ กลายเป็นทั้งโอกาสในการแจ้งเตือนและ “ดาบสองคม” ที่อาจเร่งให้เกิดความตึงเครียดหากขาดการกลั่นกรองข้อเท็จจริง
ในขณะที่กระแสข่าวสารบนโซเชียลมีเดียเคลื่อนไหวรวดเร็ว สื่อกระแสหลักและองค์กรวิชาชีพสื่อจึงต้องมีบทบาทคัดกรอง ปกป้องประโยชน์สาธารณะ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเปราะบาง การเปิดพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยน และใช้กลไกการทูตจึงยังเป็นวิธีที่ทั้งสองประเทศควรยึดถืออย่างมั่นคง
สถิติและแหล่งอ้างอิง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.