
เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 – เส้นทางการค้าผลไม้ไทยกับจีนกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อไทยและจีนตกลง “เพิ่มจุดนำเข้า–ส่งออกผลไม้” อีก 5 แห่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือขนส่งผ่านประเทศที่สาม กำหนดเริ่มใช้ “1 กันยายน 2568” เป้าหมายชัดเจน คือ ลดต้นทุนและคลายความแออัดของด่านเดิมในฤดูกาลผลไม้ พร้อมขยายทางเลือกสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ข่าวนี้ถูกจับตาในฐานะ “เครื่องมือเชิงโครงสร้าง” ที่อาจยกระดับโซ่อุปทานผลไม้ไทยทั้งระบบ หากสามารถปิดความเสี่ยงเรื่องความพร้อมของด่านฝั่งไทยและการพึ่งพาตัวกลางได้อย่างเป็นรูปธรรม
จุดเปลี่ยนเริ่มที่ด่าน เปิดทางใหม่ 5 แห่ง เชื่อมไทย–ยูนนานโดยตรง
ข้อตกลงครั้งนี้เพิ่มด่านฝั่งไทย 3 แห่ง และฝั่งจีน 2 แห่ง ดังนี้
การเปิดใช้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 มีนัยต่อการระบายผลไม้ฤดูกาลปลายปี และฤดูกาลต้นปีถัดไปโดยตรง โดยด่านยูนนานช่วยย่นเวลาสู่ “ตลาดภายในจีน” ได้มากขึ้น ไม่ต้องกระจุกที่ชายแดนกว่างซีเพียงไม่กี่จุดเหมือนที่ผ่านมา
ทำไมต้องเร่งเปิดด่านใหม่ในปีนี้
หนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเผชิญ “คอขวดชายแดน” ซ้ำๆ โดยเฉพาะ ด่านโหย่วอี้กวาน ในกว่างซีที่มีรถบรรทุกหนาแน่นทุกฤดูกาลทุเรียน แม้ทางการจีนและเวียดนามทยอยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในช่วงผลไม้ทะลักเข้าด่าน ปัญหาแออัดยังเกิดซ้ำ โยงสู่ความเสี่ยงคุณภาพและต้นทุนที่พุ่งขึ้น. การเพิ่มด่านใหม่จึงถูกวางเป็น “วาล์วระบาย” เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์ทั้งเครือข่าย
ปลายไตรมาสสองปีนี้ จีนยัง “ขยายเวลาเปิดทำการบางด่าน” และเพิ่มห้องปฏิบัติการตรวจสารต้องห้ามสำหรับทุเรียนไทย เพื่อลดคิวและเร่งรัดการตรวจปล่อย สะท้อนแรงจูงใจของจีนที่ต้องการสินค้าผลไม้คุณภาพจากไทยอย่างต่อเนื่อง
มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาท ตัวเลขที่ “ต้องรักษาและต่อยอด”
ข้อมูลภาครัฐระบุว่า จีนยังเป็นตลาดหลักของผลไม้ไทย มูลค่าส่งออกปีล่าสุด “เกิน 1.8 แสนล้านบาท” ตัวเลขนี้ไม่ได้หมายถึงรายได้ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นทันทีในปีเดียว แต่สะท้อน “ฐานตลาด” ที่นโยบายเปิดด่านใหม่มุ่งรักษาและผลักดันให้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยการลดต้นทุนโลจิสติกส์และลดการสูญเสียจากความล่าช้าที่ด่าน
ในทางปฏิบัติ “การคลายคอขวด” มีผลโดยตรงต่อราคาและคุณภาพ โดยเฉพาะทุเรียนและลำไยที่อ่อนไหวต่อเวลา การกระจายไปยูนนานผ่านเมิ่งคัง–ต๋าลั่ว ช่วยเปิดทางสู่ตลาดตะวันตกและภาคกลางของจีนเร็วขึ้น ซึ่งต่างจากเส้นทางชายฝั่งเดิมที่ต้องแย่งคิวท่าเรือหรือสนามบิน
ความพร้อมฝั่งไทย คือจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่
แม้มีกรอบวันเริ่มใช้ชัดเจน แต่ “ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน” ฝั่งไทยยังเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งปิดงานให้ทันกำหนด
ภาพรวมสะท้อน “เส้นตายที่ชัด แต่เส้นทางยังต้องเร่ง” การประสานระหว่างจังหวัด ชายแดน และศุลกากรจึงเป็นคอขวดใหม่ที่ต้องบริหารจัดการให้ทันฤดูกาล.
ภูมิทัศน์โลจิสติกส์ใหม่จากกว่างซี สู่ยูนนาน และรางจีน–ลาว
สองปีที่ผ่านมา จีนและภูมิภาคเร่งต่อจิ๊กซอว์โลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดด่านใหม่ในกว่างซี เช่น หลงปัง (Longbang) ที่เริ่มรับทุเรียนไทย และ “โมหาน” ในยูนนานที่เติบโตเร็วจาก รถไฟจีน–ลาว ทำให้ผลไม้ไทยเข้าลึกสู่มณฑลตอนในได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล. การมี “เมิ่งคัง–ต๋าลั่ว” เพิ่มในยูนนาน จะช่วยเฉลี่ยภาระงานระหว่างด่านทางเหนือ ลดการกระจุกที่โหย่วอี้กวาน และช่วยให้ผู้ประกอบการออกแบบเส้นทางผสมผสาน “ถนน–ราง” ได้คุ้มค่าขึ้น
วิเคราะห์ความเสี่ยง เปิดด่านใหม่ยังไม่พอ ถ้า “โครงสร้างตลาด” เดิมไม่เปลี่ยน
หนึ่ง ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ คือ “ความพร้อมหน้างาน” ในวันเปิดใช้จริง หากอาคาร ระบบตรวจสอบ เอกสารดิจิทัล และการประสานงานข้ามหน่วยยังไม่เสถียร อาจสร้าง “คอขวดก้อนใหม่” แทนที่จะคลายคอขวดเดิม นี่คือเหตุผลที่ต้องตั้ง War room ระดับจังหวัด–ชายแดน เพื่อเคลียร์ปัญหาแบบรายวันใน 4–6 สัปดาห์แรก. ข้อมูล e-bidding ของด่านภูดู่บอกชัดว่า งานก่อสร้างยังเดินอยู่ ต้องเร่งกำลังคนและเครื่องจักรให้เข้าใกล้เส้นตายมากที่สุด
สอง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง คือ “การพึ่งพาตัวกลาง” หรือที่อุตสาหกรรมเรียกติดปากว่า ล้งจีน แม้ด่านจะเพิ่ม แต่หากผู้ส่งออกไทยยังต้องพึ่งผู้รับซื้อรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย อำนาจต่อรองราคาและเงื่อนไขการชำระเงินก็ยัง “เปราะบาง” ทางรอดคือ เพิ่มสัดส่วนการส่งออกโดยตรง และใช้แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในจีนควบคู่ เพื่อเข้าถึงผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือเชิงนโยบายด้านกฎระเบียบและข้อมูลตลาด.
สาม ความเสี่ยงภายนอก คือภูมิรัฐศาสตร์การค้า หากข้อพิพาทการค้าระหว่างมหาอำนาจยกระดับ ไทยอาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนทางอ้อม จึงควรกระจายความเสี่ยงตลาด และรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารให้เข้ม เพื่อผ่านด่านตรวจของจีนได้ราบรื่นในทุกสถานการณ์. แนวโน้มจีน “คุมเข้มคุณภาพ” เช่น การเพิ่มห้องแล็บตรวจสารต้องห้ามและการยืดเวลาเปิดด่าน สะท้อนมาตรฐานที่สูงขึ้นและการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัยผู้บริโภค
ตัวเลขที่ต้องเฝ้าดู “เวลา–คิว–สูญเสีย”
เมื่อด่านแออัด สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพ สินค้าบางชนิดมี อายุการขาย สั้น การจอดคารอแดด 24–48 ชั่วโมง สามารถทำให้ ชั้นคุณภาพตกสเปค และราคาต่อหน่วยลดลงทันที การเพิ่มด่านยูนนานสองจุดเท่ากับเพิ่มท่อระบายใหม่ ให้ผู้ส่งออกเลือก “จราจรเบาบางกว่า” เพื่อรักษาคุณภาพและราคาขายปลายทาง โดยเฉพาะช่วงพีกของทุเรียนและลำไยที่ออกพร้อมกันในบางสัปดาห์. ข้อมูลภาคสนามชี้ว่า ในวันเร่งด่วน โหย่วอี้กวาน รองรับตู้ผลไม้ได้มากที่สุดในทุกด่าน แต่ก็ยอมรับว่าความแออัดยังเกิดซ้ำในฤดูกาล จึงต้องพึ่งด่านทางเลือกมากขึ้น
ภาพใหญ่ของ “1.8 แสนล้าน”โตได้อีก หากแก้โจทย์ “คุณภาพ–มาตรฐาน–รางเย็น”
ตลาดจีนยังโตต่อ โดยเฉพาะกลุ่มเมืองชั้นรองในยูนนาน เสฉวน ฉงชิ่ง การรักษามูลค่า 1.8 แสนล้านบาทให้ “โตแบบยั่งยืน” ต้องทำสามเรื่องพร้อมกัน
ทำวันนี้ให้ทัน 1 กันยา และทำพรุ่งนี้ให้ยั่งยืน
สำหรับภาครัฐ
สำหรับผู้ประกอบการ–เกษตรกร
สำหรับโลจิสติกส์
“เปิดด่านใหม่คือการต่อยอดพิธีสารเดิม”
สาระสำคัญของข้อตกลงคือ “การปรับปรุงภาคผนวกของพิธีสารขนส่งผลไม้ผ่านประเทศที่สาม” ซึ่งไทย–จีนเคยลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้า การเพิ่มด่านครั้งนี้จึงเป็นการ “ต่อยอดกรอบเดิม” ให้ความร่วมมือเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ภาครัฐไทยสื่อสารชัดว่า การเปิดใช้ 1 กันยายน จะ “ลดต้นทุน เพิ่มทางเลือก” และหนุนให้การค้าผลไม้ไทยในจีนเติบโตมากขึ้น
ในทางปฏิบัติ ฝั่งไทยยังเดินหน้าตรวจเยี่ยมด่านและประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ทุ่งช้าง–ห้วยโก๋น ไปจนถึงบ้านฮวก ขณะที่ฝั่งอุตรดิตถ์เร่งเครื่องก่อสร้างภูดู่ เพื่อไล่ให้ทันกำหนดการเปิดด่านพร้อมกันทั้งแพ็ก ความต่อเนื่องเช่นนี้คือสัญญาณบวก ว่าจิ๊กซอว์ฝั่งไทยกำลังถูกวางลงกระดานอย่างจริงจัง
จับตา 4 ตัวชี้วัด หลัง 1 กันยายน 2568
ด่านใหม่คือ “จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่ “ปลายทาง”
การเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่งในวันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นก้าวครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานผลไม้ไทย–จีน เป้าหมายคือคลายคอขวด ลดต้นทุน และกระจายเส้นทางสู่ตลาดตอนในของจีน แต่ความสำเร็จระยะยาวจะเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราจัดการ “งานในบ้าน” ให้เรียบร้อย เร่งโครงสร้างพื้นฐานให้ทันเส้นตาย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเชิงรุก และลดการพึ่งพาตัวกลางด้วยช่องทางการตลาดใหม่ๆ หากทำครบถ้วน ด่านใหม่จะไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่จะเป็น “สะพานแห่งความสามารถแข่งขัน” ที่ช่วยให้มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาทเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคงในปีต่อๆ ไป
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.