
กรุงเทพฯ, 29 สิงหาคม 2568 — รถบรรทุกคันยาวจอดรอคิวแน่นหน้าด่านในหลายจังหวัดชายแดน ภาพที่คุ้นตาของผู้ประกอบการท้องถิ่นกลับแฝงความกังวลมากกว่าความคึกคัก เพราะ “ยอดส่งออกชายแดน” ที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจชุมชน กำลังอ่อนแรงสวนทางกับ “การค้าผ่านแดน” ที่ทะยานขึ้นแรง เมื่อผนวกกับความตึงเครียดทางการเมืองชายแดนที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ครึ่งหลังปี 2568 เป็นช่วงชี้ชะตาของเศรษฐกิจชายแดนไทยโดยแท้
ข้อมูลล่าสุดที่หน่วยงานรัฐเปิดเผยสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจนแม้มูลค่าการค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 จะยังขยายตัว 5% แต่วงเล็บสำคัญคือ หากตัด “ผ่านแดน” ออก แล้วดูเฉพาะ “ชายแดน” จะเห็นการหดตัวแรงทั้งรายเดือนและสะสม 7 เดือน โดยมีปัจจัยชี้นำหลักจากทิศกัมพูชา ขณะที่ “ผ่านแดนสู่จีน” กลับแข็งแกร่ง ผลักโดยความต้องการสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียนสด” ที่ยังครองใจผู้บริโภคแดนมังกร (ตัวเลขตามที่สื่อเศรษฐกิจอ้างจากกรมการค้าต่างประเทศดูได้ในแหล่งอ้างอิง)
โครงเรื่องของวิกฤต เมื่อ “ด่านชายแดน” สะดุด แต่ “ทางผ่านแดน” กลับเร่งเครื่อง
1) การค้าชายแดนหดตัวหนัก
เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่าการค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 66,220 ล้านบาท ลดลง 20% โดยฝั่งส่งออกหดถึง 29.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดสะสม 7 เดือนแรก การค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 572,241 ล้านบาท ติดลบ 0.8% ฝั่งส่งออกติดลบ 3.5% สัญญาณที่กดดันผู้ประกอบการรายย่อยตามเมืองด่านอย่างปฏิเสธไม่ได้
ปัจจัยฉุดหลัก: ด้านกัมพูชา
รายงานเดียวกันระบุว่า ความไม่สงบและข้อพิพาทหน้าด่านทำให้ จุดผ่านแดนกัมพูชาถูกปิดถึง 18 แห่ง ส่งผลให้ มูลค่าการค้ากับกัมพูชาในเดือนกรกฎาคมร่วงเกือบ 100% เหลือราว 376 ล้านบาท หรือแทบชะงักงัน ข้อมูลนี้ชี้ว่าการเมืองชายแดนแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนธุรกิจโดยตรงรถบรรทุกที่เคยวิ่งเป็นพาหนะรายได้กลายเป็น “สินทรัพย์ว่างงาน” ในพริบตา
คู่ค้าอื่นก็เปราะบาง
2) การค้าผ่านแดนแข็งแกร่งจีนคือตัวขับเคลื่อนสำคัญ
คนในแวดวงโลจิสติกส์พูดตรงกันว่า “ทางผ่านแดน” คือ จุดสว่างกลางพายุ เดือนกรกฎาคม 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่า 99,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% ฝั่งส่งออกพุ่ง 55% ส่วนยอดสะสม 7 เดือนแรก โต 24.6% ฝั่งส่งออกโตเกือบ 30% โดยมี จีน เป็นแกนกลางมูลค่าผ่านแดนไปจีนในเดือนกรกฎาคมโต 44% ฝั่งส่งออกทะยาน 72.4% สินค้าวิ่งแรงที่สุดคือ ทุเรียนสด มูลค่า 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ทำสถิติเด่นจนแทบกลบข่าวร้ายฝั่งชายแดนไปชั่วขณะ
เสียงจากตัวเลข อ่านเศรษฐกิจชายแดนผ่าน “ผู้คน”
เชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดแนวหน้า ทั้งในบทบาท “ด่านเมียนมา–ท่าขี้เหล็ก/แม่สาย” และ “ประตูสู่จีนตอนบน” ผ่านโครงข่าย R3A–R3B ที่ต่อเชื่อมลาวและจีน จังหวะเศรษฐกิจของเมืองจึงขึ้นกับ “จราจรหน้าด่าน” อย่างยากหลีกเลี่ยง ตัวเลขที่สะท้อนการหดของ “การค้าชายแดน” จึงหมายถึงร้านอาหารที่ขายได้น้อยลง แคชโฟลว์ของผู้รับเหมาขนส่งตึงขึ้น สินเชื่อรถบรรทุกของผู้ประกอบการ SMEs ต้องยืดหยุ่นมากขึ้น และตลาดงานขนส่งที่รับแรงสั่นไหวโดยตรง
ขณะเดียวกัน การค้าผ่านแดน ที่ยังโตแรง กลับอุ้ม “ซัพพลายเชนผลไม้” ไว้ได้โดยเฉพาะฤดูกาลทุเรียนที่ยังเป็นพระเอกของปี อย่างไรก็ดี ความสำเร็จที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิดก็คือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง: ถ้าความต้องการจีนสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจหรือมาตรการศุลกากรเข้มขึ้น โซ่รายได้ของชาวสวน–ล้ง–ขนส่ง–หน้าด่านจะสะดุดทั้งเส้น
ปมซ่อนเร้นในสถิติ การเมืองชายแดน–กฎระเบียบ–โครงสร้างพื้นฐาน
หนึ่ง, การเมืองชายแดนคือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
กรณีกัมพูชาที่ปิดจุดผ่านแดนจำนวนมากทำให้เห็นชัดว่า “ความมั่นคง” และ “การค้า” พันผูกกันแนบแน่นเพียงใด การลดทอนความตึงเครียด การสร้างกลไกเจรจาระดับพื้นที่ และการยกระดับศูนย์ประสานงานชายแดนให้แก้ปัญหาเชิงรุก จึงเป็น นโยบายเร่งด่วน ไม่ใช่ทางเลือก
สอง, กฎระเบียบหน้าด่านและมาตรฐานเอกสาร
ผู้ประกอบการร้องขอ “ความแน่นอน” มากกว่าทุกสิ่ง ทั้งเรื่องเวลาทำการด่าน มาตรฐานตรวจสอบสินค้า และช่องทางด่วนสำหรับสินค้าสด หากกฎระเบียบ คาดเดาไม่ได้ ต้นทุน “เวลารอ” จะลามเป็นต้นทุนสินค้าทั้งห่วงโซ่โดยทันที
สาม, โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ
แม้ทางผ่านแดนไปจีนจะเติบโต แต่การเชื่อมต่อระหว่างด่าน–จุดพัก–คลังสินค้า–รางรถไฟ ยังเป็นโจทย์ที่ต้องอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ทำให้การเคลื่อนย้ายผลไม้สดต้องแข่งกับ “นาฬิกาความสด” ทุกนาทีที่เสียไปคือมูลค่าที่หายไป
พลิกเกมอย่างไร ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ “ทำได้เลย” และ “ต้องทำต่อเนื่อง”
เร่งด่วน (0–3 เดือน)
ระยะกลาง (3–12 เดือน)
ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี)
“ด่านปิดวันเดียว เท่ากับเราขาดรายได้ทั้งสัปดาห์” ประโยคเรียบง่ายที่ผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่งเอ่ยกับผู้สื่อข่าวในภาคเหนือ สะท้อนความจริงที่ตัวเลขทางการยืนยัน—เดือนกรกฎาคมเดียว การค้ากับกัมพูชาดิ่งเกือบ 100% เหลือเพียง 376 ล้านบาท จากปกติที่คึกคักกว่านั้นหลายเท่า เมื่อรถไม่วิ่ง ร้านอะไหล่–ปั๊มน้ำมัน–ร้านข้าวตามสั่งในเมืองด่านก็ซบเซาตามกันไปเป็นลูกโซ่
ในอีกภาพหนึ่ง รถห้องเย็นเรียงยาวตามเส้นทางผ่านลาวไปจีน ผลผลิตทุเรียนจากตะวันออก–ใต้ไหลรวมขึ้นเหนือแข่งกับเวลา ฤดูกาลนี้ “ผลไม้ไทย” ยังทำคะแนนในตลาดจีนได้ดีจนยอดผ่านแดนพุ่ง ตัวเลขบอกชัด—ทุเรียนสดเพียงชนิดเดียวมีมูลค่าเกือบ 2.3 หมื่นล้านบาท ในเดือนเดียว โต สามหลัก แต่คำถามสำคัญคือ พึ่ง “พระเอก” ได้นานแค่ไหน หากวันหนึ่งรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน หรือระเบียบสุขอนามัยปลายทางเข้มขึ้น
ถอดบทเรียนให้เชียงรายและจังหวัดชายแดน
สำหรับ เชียงราย เมืองยุทธศาสตร์ที่เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีน การหดตัวของ “การค้าชายแดน” และความไม่แน่นอนที่ด่าน ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจ แต่คือความเป็นอยู่ของผู้คน—ตั้งแต่ชาวสวน–แรงงานขนถ่าย–คนขับรถ ไปจนถึงผู้ค้าในตลาดชายแดน ฝั่งหนึ่ง จังหวัดควรเร่งบทบาท “แม่งานประสานด่าน” สร้าง ศูนย์บัญชาการข้อมูล รวบรวมสถานะด่าน–คิวรถ–แนวโน้มสินค้าสด ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแบบเรียลไทม์ อีกฝั่งหนึ่ง ภาคเอกชนควรรวมกลุ่มต่อรองบริการโลจิสติกส์ (เช่น ค่าตู้เย็น/ค่ารอคิว) เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย และร่วมมือกับสถาบันการเงินในพื้นที่ออกแบบเงินทุนหมุนเวียนที่ ผูกกับข้อมูลการขนส่งจริง แทนการประเมินความเสี่ยงแบบเหมารวม
เปลี่ยน “จุดเสี่ยงชายแดน” เป็น “จุดแข็งภูมิภาค”
ตัวเลขกรกฎาคม–สะสม 7 เดือนแรกปี 2568 ให้ภาพสองด้าน—ด้านมืดคือการส่งออกชายแดนที่หดแรงโดยเฉพาะทิศกัมพูชา ด้านสว่างคือการค้าผ่านแดนที่ทะยานสู่จีนหนุนด้วยทุเรียนสด หากมองเชิงระบบ นี่ไม่ใช่ภาพที่ขัดแย้ง แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ไทย จัดการความเสี่ยงชายแดน และ ยกระดับโครงสร้างผ่านแดน พร้อมกัน
โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียง “อัดมาตรการระยะสั้น” แต่คือการ ทำให้ด่านคาดการณ์ได้–กฎระเบียบโปร่งใส–โลจิสติกส์ไร้คอขวด และที่สำคัญที่สุดคือ กระจายพอร์ตสินค้า ให้เศรษฐกิจหน้าด่านไม่ต้องฝากอนาคตไว้กับสินค้าไม่กี่ชนิดหรือความสัมพันธ์การเมืองชายแดนที่ผันผวน การทำให้ “ชายแดนไทย” เป็นทั้ง ประตูการค้า และ กันชนความเสี่ยง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพาเศรษฐกิจท้องถิ่น—ตั้งแต่เชียงรายถึงเบตง—ก้าวผ่านความไม่แน่นอนในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ตัวเลขสำคัญ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.