วิกฤตนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย โอกาสและความท้าทายในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว

ประเทศไทย, 26 พฤษภาคม 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของชาติ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลดลงอย่างน่าตกใจในช่วงต้นปี 2568 สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงราย ภูเก็ต และกรุงเทพฯ แต่ยังทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า “นักท่องเที่ยวจีนหายไปไหน?” และประเทศไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ความหวังที่พังทลายหลังตรุษจีน

ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกำลังสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 11 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และสร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาทต่อปี ด้วยตัวเลขที่สูงเช่นนี้ ประเทศไทยจึงคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการระบาด โดยเฉพาะเมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID และเปิดประเทศในช่วงปลายปี 2565

ในช่วงปลายปี 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว โดยมีจำนวนเฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 60-70% ของระดับก่อนโควิด-19 ความหวังพุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนในเดือนมกราคม 2568 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยถึง 660,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ความหวังนี้กลับพังทลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ลดลงเกือบครึ่ง เหลือเพียง 300,000 คนต่อเดือน หรือเพียง 30% ของระดับก่อนโควิด-19

สถานการณ์นี้สร้างความกังวลอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ คำถามที่ตามมาคือ สาเหตุใดที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างรุนแรง และประเทศไทยจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างไร KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ได้วิเคราะห์สถานการณ์นี้และชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราวที่ส่งผลต่อการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับตัวเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

สาเหตุของการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน

KKP Research ได้ระบุถึงสามปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงต้นปี 2568 ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว ดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีน
    ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ข้อมูลจาก China Tourism Academy ระบุว่า ในปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางภายในประเทศฟื้นตัวถึง 93.6% ของระดับปี 2562 ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศฟื้นตัวเพียง 86.5% เท่านั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเติบโตเพียง 4.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ National Bureau of Statistics of China ยังส่งผลให้กำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนลดลง ทำให้หลายคนเลือกท่องเที่ยวในประเทศที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ไปสู่นักท่องเที่ยวอิสระ (Free Individual Traveler: FIT) เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ในอดีต นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยมีสัดส่วนกรุ๊ปทัวร์สูงถึง 40% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคที่อยู่ระหว่าง 10-20% อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2567 พบว่านักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ลดลงเหลือเพียง 20% ในขณะที่นักท่องเที่ยวอิสระเพิ่มขึ้นเป็น 80% การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยกลยุทธ์เน้นราคาต่ำ เช่น ทัวร์ราคาถูก อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวอิสระให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น เช่น คุณภาพการบริการ ความปลอดภัย และประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น

  1. ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยที่เสื่อมถอย
    ปัญหาความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีน จากการสำรวจของ Dragon Trail International ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 52% ของนักท่องเที่ยวจีนที่ตอบแบบสอบถามมองว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย เพิ่มขึ้นจาก 38% ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งสูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ที่การรับรู้ด้านความปลอดภัยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

เหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย ได้แก่ การลักพาตัวดาราชาวจีนในช่วงต้นปี 2568 การปราบปรามธุรกิจสีเทาที่สร้างความกังวลในหมู่นักท่องเที่ยว และเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเล็กในบางพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งถูกขยายความในสื่อจีน โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่ากรุ๊ปทัวร์ การรับรู้ด้านความปลอดภัยที่ลดลงนี้สะท้อนจากข้อมูลการจองเที่ยวบินขาเข้าไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ในขณะที่เที่ยวบินขาออกจากจีนไปยังญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซียกลับฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

  1. การแข่งขันจากจุดหมายปลายทางอื่น
    ปัจจัยทั้งเชิงโครงสร้างและชั่วคราวคือการที่นักท่องเที่ยวจีนหันไปเลือกจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งมีข้อได้เปรียบในด้านความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว คุณภาพการบริการ และภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย ข้อมูลจาก International Air Transport Association (IATA) แสดงให้เห็นว่า เที่ยวบินจากจีนไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 15% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 ในขณะที่เที่ยวบินไปไทยลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่า ความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางลดลง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค

กลยุทธ์รับมือและโอกาสใหม่

เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ KKP Research เสนอว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการสร้างความหลากหลายให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย
    การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการในระยะยาว Dragon Trail International ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกปลอดภัยมากที่สุดคือการออกคำแนะนำด้านการเดินทางในเชิงบวกจากรัฐบาลจีน และการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยโดยรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่ง 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่ามีความสำคัญ รองลงมาคือการรับข้อมูลเชิงบวกจากสื่อสังคมออนไลน์และเพื่อนนักท่องเที่ยว (25%) และการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเสี่ยงต่ำหรือการซื้อประกันการเดินทาง (20%) ในทางกลับกัน การเดินทางกับกรุ๊ปทัวร์หรือการมีไกด์ท้องถิ่นไม่ได้ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวจีนมากนัก

รัฐบาลไทยจึงควรประสานงานกับรัฐบาลจีนเพื่อปรับปรุงการรับรู้ด้านความปลอดภัย รวมถึงลงทุนในแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในจีน เช่น WeChat และ Douyin เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและการเพิ่มกำลังตำรวจท่องเที่ยว จะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นได้

  1. การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมาย
    ในระยะสั้น การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวอาจเป็นความเสี่ยง KKP Research แนะนำให้มุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 7.8% ในปี 2567 ตามข้อมูลของ International Monetary Fund (IMF) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้ฟื้นตัวถึง 120% ของระดับปี 2562 และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

นักท่องเที่ยวยุโรปมีฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปีถึงต้นปี ซึ่งช่วยเติมเต็มช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง ในขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางมากในช่วงกลางปี (พฤษภาคม-มิถุนายน) ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างจากนักท่องเที่ยวจีนอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวยุโรปให้ความสำคัญกับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ อาหารริมทาง และการช้อปปิ้งของที่ระลึก ส่วนนักท่องเที่ยวอินเดียชื่นชอบกิจกรรมยามค่ำคืน การนวดและสปา และการช้อปปิ้งเสื้อผ้าและเครื่องหนัง

การปรับนโยบายการท่องเที่ยวจึงควรเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในภาคเหนือและอีสานสำหรับนักท่องเที่ยวยุโรป และการส่งเสริมสถานบันเทิงและสปาคุณภาพสูงในกรุงเทพฯ และพัทยาสำหรับนักท่องเที่ยวอินเดีย

  1. การยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว
    การเปลี่ยนแปลงสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอิสระที่มีกำลังซื้อสูง การพัฒนาการบริการ การเพิ่มความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงนิเวศจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับประเทศไทย นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มจองที่พักและกิจกรรมออนไลน์ที่สะดวกและเข้าถึงได้ง่าย จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวอิสระทั้งจากจีนและกลุ่มอื่นๆ

โอกาสท่ามกลางวิกฤต

การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงต้นปี 2568 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แม้ว่าปัญหานี้จะมีทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและชั่วคราว แต่ก็เป็นโอกาสให้ประเทศไทยทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์การท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเพียงกลุ่มเดียวในอดีตได้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรม เมื่อเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว

ในระยะสั้น การแก้ไขปัญหาความปลอดภัยและการประชาสัมพันธ์เชิงบวกจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนได้บ้าง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระที่ยังมีศักยภาพในการกลับมา อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การกระจายกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายไปสู่นักท่องเที่ยวยุโรปและอินเดียจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความสมดุลให้กับอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวและการยกระดับคุณภาพการบริการจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสู่การท่องเที่ยวแบบอิสระยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่เน้นประสบการณ์เฉพาะตัว เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเชียงราย การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาคใต้ หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกรุงเทพฯ การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย:
    • ปี 2562: 11 ล้านคน (28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด)
    • ปี 2567: เฉลี่ย 560,000 คนต่อเดือน (60-70% ของระดับก่อนโควิด-19)
    • มกราคม 2568: 660,000 คน
    • กุมภาพันธ์-เมษายน 2568: เฉลี่ย 300,000 คนต่อเดือน (30% ของระดับก่อนโควิด-19)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน:
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางในประเทศ: ฟื้นตัว 93.6% ของระดับปี 2562
    • นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศ: ฟื้นตัว 86.5% ของระดับปี 2562
      ที่มา: China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีน:
    • ปี 2562: กรุ๊ปทัวร์ 40%, นักท่องเที่ยวอิสระ 60%
    • ปี 2567: กรุ๊ปทัวร์ 20%, นักท่องเที่ยวอิสระ 80%
    • การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวอิสระ: 77.4% (5.3 ล้านคน)
    • การฟื้นตัวของกรุ๊ปทัวร์: 33.4% (1.4 ล้านคน)
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การรับรู้ด้านความปลอดภัย:
    • เดือนกันยายน 2567: 38% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
    • เดือนเมษายน 2568: 52% ของนักท่องเที่ยวจีนมองว่าไทยไม่ปลอดภัย
      ที่มา: Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวยุโรปและเอเชียใต้:
    • ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568: ฟื้นตัว 120% ของระดับปี 2562
    • สัดส่วน: คิดเป็น 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
      ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย:
    • ปี 2567: GDP เติบโต 7.8%
      ที่มา: International Monetary Fund (www.imf.org)
  • ข้อมูลเที่ยวบิน:
    • เที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นและเกาหลีใต้: เพิ่มขึ้น 15% ในไตรมาสแรกของปี 2568
    • เที่ยวบินจากจีนไปไทย: ลดลง 10% ในไตรมาสแรกของปี 2568
      ที่มา: International Air Transport Association (www.iata.org)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (www.kkpfg.com)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (www.mots.go.th)
  • China Tourism Academy (www.ctaweb.org)
  • Dragon Trail International (www.dragontrail.com)
  • International Monetary Fund (www.imf.org)
  • International Air Transport Association (www.iata.org)
  • National Bureau of Statistics of China (www.stats.gov.cn)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News