
ประเทศไทย, 11 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเป็นที่กังวลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากผลสำรวจความคิดเห็นของ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรื่อง “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,229 ราย ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์และภาคสนาม พบข้อมูลที่น่าตกใจและสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชนในวงกว้าง
ความกังวลด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพยังครองอันดับต้น
จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 48.32 ยอมรับว่าหากไม่มีรายได้เลย จะมีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าคนไทยจำนวนมากยังขาดความมั่นคงทางการเงิน และเผชิญกับภาวะ “ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ” อย่างเด่นชัด
แม้ในทางทฤษฎีประชาชนควรมีเงินสำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนสำหรับเหตุฉุกเฉิน แต่จากผลสำรวจกลับสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นต่างออกไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการค้า ภัยพิบัติ และปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงเรื้อรัง
วิธีรับมือเศรษฐกิจของประชาชนลดรายจ่ายคือทางรอดเบื้องต้น
จากคำถามเกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 77.37 ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะ “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นกลยุทธ์หลัก ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการปรับตัวของครัวเรือนไทยที่กำลังรับมือกับต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ร้อยละ 58.99 ระบุว่าตนเอง “มีการวางแผนทางการเงินแต่ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง” ซึ่งปัญหานี้อาจมีรากมาจากรายได้ที่ไม่แน่นอน หรือค่าใช้จ่ายประจำที่สูงกว่าค่าครองชีพเฉลี่ย ทำให้ไม่สามารถออมเงินหรือวางแผนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลตัวเลขที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชน
หนึ่งในประเด็นที่สวนดุสิตโพลให้ความสนใจคือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเด็นระดับโลกที่ส่งผลโดยตรงต่อไทย โดยผลสำรวจพบว่า
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงภาวะที่ประชาชนเริ่มขาดศรัทธาในประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการต่างประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย หรือการสื่อสารที่ไม่สร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน
นักวิชาการเตือนหากไม่เร่งแก้ อาจเผชิญเศรษฐกิจถดถอย
ว่าที่ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ประจำโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ได้แก่
ทั้งสองปัจจัยนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของ GDP ประเทศไทย และการที่ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ยังอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการบริโภคภายในประเทศ และนำไปสู่ความเสี่ยงของ “เศรษฐกิจถดถอย” (Economic Recession) ได้
ทางออกและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจในประเทศ นักวิชาการเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้
ภาพสะท้อนสังคมไทยในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน
ข้อมูลจากสวนดุสิตโพลในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าประชาชนไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ความเปราะบางทางการเงินในระดับครัวเรือน การขาดเงินสำรองฉุกเฉิน และความเชื่อมั่นต่อรัฐที่ลดลง เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้าม
หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ไทยอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
สถิติที่เกี่ยวข้อง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.