
ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13:20 น. ส่งผลกระทบรุนแรงถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ บริเวณถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วยงบประมาณ 2,136 ล้านบาท พังถล่มลงมาทั้งหมด สร้างความเสียหายอย่างหนัก และกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณภาพการก่อสร้างและการบริหารจัดการโครงการ โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเปิดเผยข้อสังเกตเกี่ยวกับความล่าช้าและปัญหาการก่อสร้าง ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการอย่างโปร่งใสภายใต้ “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”
ความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสถานการณ์ล่าสุด
เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้อาคาร สตง. แห่งใหม่ ซึ่งมีความสูง 30 ชั้น และตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ 3 งาน ถล่มลงมาทั้งหมด โดยศูนย์นเรนทร สถานบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) รายงานเมื่อเวลา 15:07 น. วันที่ 29 มีนาคม 2568 ว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 50 ราย ซึ่งถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียชีวิต 1 ราย และยังมีผู้ติดอยู่ในซากอาคารจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด ตามข้อมูลจากหัวหน้าคนงานในพื้นที่ ขณะนี้หน่วยกู้ภัยและทีมวิศวกรกำลังเร่งปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยแข่งกับเวลาเพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียเพิ่มเติม
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 พร้อมระบุว่า ยังคงตรวจพบสัญญาณชีพของผู้สูญหาย 15 ราย ในระดับความลึกประมาณ 3 เมตรใต้ซากอาคาร และได้สั่งระดมเครื่องจักรหนักเพื่อเร่งเคลื่อนย้ายเศษซาก คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมง
ข้อสังเกตจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT)
นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยว่า องค์กรได้ร่วมกับ สตง. ลงนามใน “โครงการข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)” เพื่อส่งผู้สังเกตการณ์อิสระเข้าร่วมตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการก่อสร้างอาคารแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมของ ACT เกิดขึ้นหลังจากที่ สตง. ได้คัดเลือกผู้รับเหมา ผู้ควบคุมงาน และจัดทำข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) รวมถึงแบบก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้ผู้สังเกตการณ์จาก ACT ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนด TOR หรือการคัดเลือกผู้รับเหมาในขั้นต้น
นายมานะระบุว่า ตลอดระยะเวลาการสังเกตการณ์ พบข้อผิดสังเกตหลายประการ เช่น การก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ผู้รับเหมามีพฤติกรรมหยุดงานเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะในช่วงแรกของโครงการ และเมื่อกลับมาดำเนินการต่อก็มีความล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด คณะผู้สังเกตการณ์ได้ทักท้วงถึงปัญหาดังกล่าวต่อ สตง. อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราคม 2568 สตง. มีท่าทีเตรียมยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา เนื่องจากความล่าช้าที่กระทบต่อความคืบหน้าของโครงการ
“ผู้สังเกตการณ์จาก ACT มีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารสัญญาก่อสร้างว่าสอดคล้องกับแบบและเงื่อนไขในสัญญาหรือไม่ หากมีการแก้ไขแบบหรือเปลี่ยนแปลงวัสดุ สตง. และผู้ควบคุมงานต้องแจ้งให้เราทราบ แต่การควบคุมคุณภาพทางวิศวกรรม เช่น การป้องกันการล่าช้า หรือการเปลี่ยนวัสดุที่อาจกระทบต่อโครงสร้าง เป็นความรับผิดชอบของ สตง. และบริษัทผู้ควบคุมงาน ไม่ใช่ ACT” นายมานะกล่าว
นายมานะยังชี้ว่า “โครงการข้อตกลงคุณธรรม” เป็นเครื่องมือสากลที่ ACT นำมาจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) และเริ่มใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558 เพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยปัจจุบันมีผู้สังเกตการณ์อิสระ 252 คน ร่วมตรวจสอบ 178 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านล้านบาท ช่วยประหยัดงบประมาณได้ 77,548 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.7 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โครงการที่รัฐเลือกเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดและความสำคัญลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสาม ซึ่งนายมานะมองว่าเป็นการสูญเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างคุ้มค่า
การชี้แจงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษก สตง. ให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ทางโทรศัพท์กับสำนักข่าวอิศราว่า ขณะนี้ผู้บริหาร สตง. อยู่ระหว่างลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลความเสียหาย และจะมีการหารือรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมา สตง. ได้ตรวจรับงานก่อสร้างเป็นงวด ๆ ไปแล้วประมาณร้อยละ 20-25 เท่านั้น และการดำเนินโครงการนี้อยู่ภายใต้กรอบความโปร่งใสตาม “โครงการข้อตกลงคุณธรรม”
สตง. ชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างอาคารแห่งใหม่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2550 โดยได้รับอนุมัติงบประมาณเบื้องต้นจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวม 1,832,906,600 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 1,826,950,000 บาท และค่าควบคุมงาน 5,956,600 บาท ต่อมาในปี 2563 สตง. ขอปรับเปลี่ยนรายการและเพิ่มงบประมาณเป็น 2,636,800,000 บาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 2,560,000,000 บาท และค่าควบคุมงาน 76,800,000 บาท ซึ่งได้รับอนุมัติจาก ครม. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563
ผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด) ด้วยวงเงิน 2,136 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลาง 386.15 ล้านบาท ส่วนผู้ควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้า PKW (บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด, บริษัท ว. และสหาย คอนซัลแตนส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จำกัด) ด้วยวงเงิน 84,560,600 บาท โดยมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างจากกำหนดเดิม 1,080 วัน (15 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2566) ออกไปอีก 148 วัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และการปรับแก้แบบก่อสร้าง
สตง. เน้นย้ำว่า โครงการนี้ได้ยึดหลักความโปร่งใสตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยมีการเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และดำเนินการจัดหาผู้รับเหมาอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
ความเป็นมาของโครงการและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง
โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. แห่งใหม่เริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปี 2550 โดยมีเป้าหมายเพื่อย้ายสำนักงานจากที่ตั้งเดิมไปยังอาคารทันสมัยที่มีพื้นที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ตัวอาคารสูง 30 ชั้น ตั้งอยู่ใกล้สถานี MRT กำแพงเพชร และสถานีกลางบางซื่อ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน ด้วยงบประมาณเริ่มต้น 1,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเพิ่มเป็น 2,560 ล้านบาทในปี 2563 และมีการขอเพิ่มงบควบคุมงานอีก 9,718,716 บาท ในปี 2567
ระหว่างการก่อสร้าง โครงการเผชิญปัญหาหลายครั้ง เช่น การหยุดงานจากสถานการณ์โควิด-19 และเหตุเครนถล่มเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งทำให้คนงานชาวกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 2 ราย ส่งผลให้มีการระงับการก่อสร้างชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย
โครงสร้างผู้รับเหมาและสถานะทางการเงิน
จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างชั้นนำของไทย และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท
บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (จีน) ถือหุ้น 49% ส่วนผู้ถือหุ้นไทย ได้แก่ นายโสภณ มีชัย (40.80%), นายประจวบ ศิริเขตร (10.20%) และนายมานัส ศรีอนันท์ (0.00%, 3 หุ้น) งบการเงินล่าสุดปี 2566 ระบุว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวม 2,804,535,819 บาท หนี้สิน 2,952,877,175 บาท และขาดทุนสุทธิ 199,669,872 บาท ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่น่าเป็นห่วง
ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย
กรณีการถล่มของอาคาร สตง. ได้จุดกระแสข้อถกเถียงระหว่างสองมุมมองหลัก โดยฝ่าย ACT ชี้ถึงปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการบริหารจัดการที่ไม่รัดกุมหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ขณะที่ สตง. ยืนยันว่าได้ดำเนินการตามหลักการโปร่งใส และการถล่มอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ความรุนแรงของแผ่นดินไหวที่เกินขีดความสามารถของโครงสร้าง
จากมุมมองที่เป็นกลาง การวิพากษ์วิจารณ์ของ ACT มีน้ำหนักในแง่ของการชี้ให้เห็นถึงความล่าช้าและการหยุดงาน ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารสัญญาหรือการควบคุมงานที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ ACT ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทำ TOR และคัดเลือกผู้รับเหมา อาจทำให้ข้อมูลที่นำเสนอไม่ครอบคลุมทุกมิติ ในทางกลับกัน การชี้แจงของ สตง. ที่ระบุถึงความโปร่งใสและการประหยัดงบประมาณจากการประมูลที่ต่ำกว่าราคากลาง มีความสมเหตุสมผลในแง่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่คำถามเรื่องคุณภาพโครงสร้างยังคงต้องการการตรวจสอบเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อยืนยันว่าการถล่มเกิดจากแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว หรือมีปัจจัยอื่น เช่น การออกแบบหรือวัสดุที่ไม่เหมาะสมร่วมด้วย
ทั้งนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ควรเร่งตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการกล่าวโทษที่อาจขาดหลักฐานรองรับ
สถิติที่เกี่ยวข้อง
สรุป
เหตุการณ์ถล่มของอาคาร สตง. ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังจุดประเด็นถกเถียงถึงความโปร่งใสและคุณภาพการก่อสร้าง ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันค้นหาความจริง เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนและป้องกันเหตุซ้ำรอยในอนาคต
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.