
พัทยา, 15 กันยายน 2568 — สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าวิสัยทัศน์ “อาณาจักรแห่งแหล่งเรียนรู้ครบวงจร” เปิดพื้นที่การเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสร้างและรวบรวม “องค์แทนพระพุทธเจ้า” จากหลากหลายประเทศ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความเข้าใจความงดงามของพุทธศิลป์ในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทสวนนงนุชในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาเคียงข้างสวนพฤกษศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และสวนสัตว์ปูนปั้น ซึ่งเป็น 5 เสาหลักของแผนพัฒนาเชิงเนื้อหาที่วางไว้
นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ยกเหตุผลสำคัญว่า โครงการนี้ตั้งใจ “ทำให้เด็กๆ เข้าถึงพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และเห็นความงามของพุทธศิลป์จากนานาชาติ” ด้วยความเชื่อว่าการเห็นของจริงในบริบทย่อส่วน จะช่วย “ปลูกฝังความรัก ความศรัทธา และความเข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วัยเยาว์ และติดตัวไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต (อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่สอดคล้องกับข่าวเผยแพร่ล่าสุดของสวนนงนุชพัทยาและสื่อท้องถิ่น)
จาก “สวนสวย” สู่ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” โครงเรื่องที่สวนนงนุชอยากเล่า
เรื่องราวเริ่มที่คำถามง่ายๆ ว่า “เราจะทำให้พระพุทธศาสนาน่าสนใจสำหรับเด็กและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” คำตอบของสวนนงนุชคือการยก “โลกของพุทธศิลป์” มาไว้ในพื้นที่เดียว ให้ผู้ชมเดินผ่านเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ รูปทรง และสุนทรียะ จากหลากหลายภูมิภาค แล้วเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างด้วยสายตาตนเอง
แนวคิดนี้สอดรับกับทิศทางการเป็น “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ครบวงจร” ของสวนนงนุช ซึ่งมี 5 ด้านหลัก ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ปูนปั้น ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และพระพุทธศาสนา โดยด้านสุดท้ายถูกต่อยอดให้ชัดเจนขึ้นผ่าน “องค์แทนพระพุทธเจ้า” ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องเรียนภาคสนามกลางแจ้ง ผู้ชมจึงไม่ได้เพียง “ดู” หากแต่ “เชื่อมโยง” ข้อมูลศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน (ข้อมูลทิศทางจากเว็บไซต์สวนนงนุชและบทความแนะนำพิพิธภัณฑ์พุทธคุโณปการ)
ความคืบหน้าโครงการ 5 องค์แล้วเสร็จ และ 11 องค์อยู่ระหว่างดำเนินการ
สวนนงนุชระบุว่า ขณะนี้ได้จัดสร้างองค์แทนพระพุทธเจ้าจากนานาชาติแล้ว 5 องค์ ได้แก่
นอกจากนี้ยังมี 11 องค์ อยู่ระหว่างทำงาน ซึ่ง 3 องค์ แรกที่แล้วเสร็จและทยอยเปิดให้ชม ได้แก่ พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน), พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) และ พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน—ในฐานะองค์แทน/การระลึกถึง) รายละเอียดดังกล่าวยืนยันในข่าวเผยแพร่ของสื่อไทยท้องถิ่นและเว็บไซต์ข่าวเชิงสาธารณะ ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชน และนักท่องเที่ยวเข้าถึงความหลากหลายของพุทธศิลป์โลกในพื้นที่เดียว
“เมื่อได้เห็นความงดงามของพุทธศิลป์จากหลายประเทศ เด็กๆ จะเกิดความรู้สึกชอบ เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเกิดความรักและความศรัทธาในหลักคำสอนที่ถูกต้อง” — นายกัมพล ตันสัจจา (อ้างอิงตามเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์)
ทำไมต้อง “องค์แทน” บทเรียนเชิงบริบทและการเทียบเคียง
การจัดสร้าง “องค์แทน” มิได้เป็นเพียงการจำลองรูปเคารพ หากคือการ “ย่อโลก” ของคติ ความเชื่อ และรูปแบบศิลป์ที่สะท้อนรากวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคให้มาอยู่ในระยะสายตาเดียวกัน เด็กและผู้ชมจึงสามารถเทียบเคียง “ภาษาศิลป์” ได้โดยตรง ว่าทำไมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่นจึงหนักแน่นเรียบง่าย เหตุใดพระโพธิสัตว์ในจีนจึงอ่อนช้อย และเหตุใดรูปเคารพจากหิมาลัยจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ “องค์แทน” กลายเป็นตำราเรียนที่เดินเข้าไปอ่านได้
เปิดเลนส์ดู 3 สัญลักษณ์สำคัญ ภูฐาน–ทิเบต–อัฟกานิสถาน
1) พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน) — ความศรัทธาที่โอบล้อมเมืองหลวง
Great Buddha Dordenma ตั้งอยู่บนเนินเขาในทิมพู สร้างด้วย สำริดปิดทอง สูงราว 54 เมตร ก่อสร้างระหว่างปี 2006–2015 ภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า หนึ่งแสนองค์ ตามคติศรัทธา การมีอยู่ขององค์พระซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดราวคุ้มครองเมืองทั้งเมือง จึงมีนัยทั้งเชิงสัญลักษณ์และทัศนภูมิประเทศที่น่าสนใจต่อการเรียนรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรมศาสนา
2) พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) — ศูนย์กลางศรัทธาที่โยกย้ายมิได้
Jowo Shakyamuni ประดิษฐานในวัดโจกัง เมืองลาซา และถูกยกย่องว่าเป็น “พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต” ความสำคัญอยู่ที่บทบาททางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของทิเบต มากกว่าขนาดหรือวัสดุ การศึกษาองค์นี้ช่วยเปิดมุมมองว่า “คุณค่าทางศาสนา” อาจวัดจากความทรงจำร่วมของสังคม และบทบาททางพิธีกรรม มิใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก
3) พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน) — อนุสรณ์แห่งการคุ้มครองมรดกโลก
พระพุทธรูปยักษ์สององค์ที่หน้าผาหุบเขาบามิยันถูกทำลายเมื่อปี 2001 จนเหลือเพียง “โพรงว่าง” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจโลกให้ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก ในชื่อ Cultural Landscape and Archaeological Remains of the Bamiyan Valley การสร้าง “องค์แทนเพื่อระลึกถึง” จึงมีนัยเชิงการศึกษา ว่าความสูญเสียทางวัฒนธรรมส่งผลอย่างไร และโลกเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้
สวนนงนุชในฐานะ “สะพาน” เชื่อมศิลป์–ศรัทธา–สังคม
เมื่อองค์แทนจากภูมิภาคต่างๆ มาวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้ชมจะเห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งแช่แข็ง หากสัมพันธ์กับภูมิอากาศ วัสดุท้องถิ่น ประวัติศาสตร์การเมือง ศาสนาท้องถิ่น และการตีความคำสอน ทั้งหมดนี้ทำให้ “ศิลป์” กลายเป็น “กระจก” สะท้อนสังคม และทำให้ “ศรัทธา” กลายเป็น “บทสนทนา” ระหว่างคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสง่างาม
สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา โครงการนี้เพิ่ม “ชั้นความหมาย” ให้การมาเยือนพัทยาและชลบุรี ซึ่งเดิมเป็นจุดหมายพักผ่อนตามธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้ครู นักเรียน มหาวิทยาลัย และชมรมศิลปะ เข้ามาใช้พื้นที่เรียนรู้แบบ hands-on โดยผูกเรื่องกับรายวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ สังคมศึกษา และพลเมืองโลก
มาตรฐานการเล่าเรื่องและความอ่อนน้อมต่อศาสนา
สวนนงนุชตระหนักถึง “ความอ่อนไหวทางศาสนา” จึงวางกรอบการสื่อสารเชิงความรู้ควบคู่มารยาทการเยี่ยมชม เช่น การแต่งกายสุภาพ การเว้นระยะเหมาะสม การไม่ปีนป่ายหรือสัมผัสองค์แทนโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจัดป้ายความรู้สองภาษา เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจที่มา ความหมาย และบริบทของแต่ละองค์อย่างเคารพ ซึ่งแนวปฏิบัติทำนองนี้ปรากฏในเอกสารแนะนำเชิงนิทรรศการของสวนนงนุชที่เน้นบทบาท “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” และ “ห้องเรียนกลางแจ้ง”
ความต่อเนื่องของภารกิจ “ปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์”
ใจกลางของโครงการคือคำว่า “เข้าถึงง่าย” เด็กจำนวนมากรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญทางศาสนา แต่ยังไม่รู้ว่า “พุทธศิลป์” ในแต่ละประเทศต่างกันอย่างไร การได้เห็นองค์แทนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนมา ภูฐาน ทิเบต ไปจนถึงอนุสรณ์แห่งบามิยันในอัฟกานิสถาน จะช่วยกระตุ้นให้ตั้งคำถามและค้นคว้า เช่น ทำไมกวนอิมจึงมีบุคลิกอ่อนโยน ทำไมไดบุตสึจึงเน้นความสุขุมมั่นคง หรือทำไมโจโวจึงเป็น “หัวใจของทิเบต” คำถามเหล่านี้คือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ระยะยาว
“เราต้องการให้เด็กรู้สึกชอบก่อน แล้วความรักและความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจจะตามมาเอง” — นายกัมพล ตันสัจจา กล่าวในทิศทางเดียวกับข่าวเผยแพร่
อนาคตข้างหน้า จากองค์แทน สู่เครือข่ายการเรียนรู้ระดับภูมิภาค
เมื่อองค์แทนชุดแรกทยอยเปิดครบ สวนนงนุชมีแนวโน้มจะขยายกิจกรรมประกอบผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปนำชมเชิงลึก การบรรยายสั้นสำหรับครอบครัว เสวนาเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัย และการพัฒนา guidebook ขนาดพกพา เพื่อช่วยครูและนักเรียนเตรียมตัวก่อนมาเยือน หากเกิดขึ้นจริง พื้นที่นี้จะค่อยๆ กลายเป็น “โหนดความรู้” เชื่อมโยงโรงเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าหากัน
ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์แทนยังเปิดโอกาสต่อยอดสู่งานออกแบบของที่ระลึกเชิงความรู้ คอนเทนต์ดิจิทัลแบบสั้น และสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟที่เล่าความหมายของรูปทรงและสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ “เรียนรู้ซ้ำ” ได้แม้กลับถึงบ้านแล้ว โดยไม่ลดทอนความเคารพต่อศาสนา
มองผ่านเลนส์เมืองท่องเที่ยว พัทยาที่ซับซ้อนกว่าเดิม
พัทยาในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอาจถูกมองด้วยภาพจำจำกัด โครงการแบบนี้ช่วย “ปรับโทน” เมืองให้ลุ่มลึกขึ้น เพิ่มมิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสอดรับพฤติกรรมผู้เดินทางรุ่นใหม่ที่แสวงประสบการณ์มีความหมาย การมีแลนด์มาร์กเชิงการศึกษาในพื้นที่สวนระดับโลกอย่างสวนนงนุช ซึ่งเดิมโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตยกรรมและคอลเลกชันพืช ก็ยิ่งทำให้พัทยาเป็นปลายทางที่ครบเครื่องขึ้น (ข้อมูลภาพรวมแหล่งท่องเที่ยวจากบทความแนะนำการท่องเที่ยวพัทยาที่กล่าวถึงบทบาทสวนนงนุช)
องค์แทนที่ “แทน” ได้มากกว่ารูปเคารพ
โครงการ “องค์แทนพระพุทธเจ้านานาชาติ” ของสวนนงนุชพัทยาไม่ใช่แค่การจัดวางรูปเคารพให้คนมาถ่ายรูป หากเป็น “บทเรียนมีชีวิต” ที่วางอยู่กลางเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้มาเยือนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเคารพ เข้าใจ และเท่าทันโลก
ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการใช้ “พุทธศิลป์” เป็นภาษากลางเชื่อมประวัติศาสตร์ ศรัทธา และสังคม จากภูฐานและทิเบตถึงอัฟกานิสถาน จากจีนและญี่ปุ่นถึงเกาหลีและเมียนมา แล้วนำทั้งหมดมาบอกเล่าที่พัทยา เมืองที่กำลังสร้างบทใหม่ของการท่องเที่ยวคุณภาพ เมื่อโครงการเดินหน้าครบถ้วน พื้นที่แห่งนี้จะยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ ความอ่อนน้อม และบทสนทนา ซึ่งคือหัวใจของคำว่า “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.