วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต ปลากลายเป็นสัญญาณเตือน “ภัยเงียบ” ที่ไม่ควรมองข้าม!

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568  – ผลวิจัยล่าสุดจาก สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ตอกย้ำข้อเท็จจริงสุดช็อก! แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญหน้ากับการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในประเทศพม่า สารพิษจากเหมืองแร่หายากและเหมืองทองคำกำลังรุกคืบเข้าสู่ระบบนิเวศอันเปราะบาง แม้สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ แต่ “ปลาป่วย” ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอันตรายที่ไม่อาจละเลย การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องพุ่งเป้าไปที่ “ต้นตอ” ด้วยการเจรจาข้ามประเทศ พร้อมเร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะเพื่อปกป้องแม่น้ำกกและชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่คุกคามทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้มข้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข นั่นคือการประเมินความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะใน แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งผลวิจัยได้ชี้ชัดอย่างไม่น่าสงสัยว่า แม่น้ำสายสำคัญนี้กำลังรับพิษจากมลภาวะข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาหัส

เปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ สารหนูจากพม่าเข้าสู่แม่น้ำกก

รายงานผลการศึกษาฉบับนี้ ได้ใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมผสานการมีส่วนร่วมของวิทยาศาสตร์พลเมือง เพื่อระบุ “แหล่งที่มา” ของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกอย่างแม่นยำ และผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจแม่น้ำ การวิเคราะห์ยืนยันว่า ร้อยละ 69.7 ของสารปนเปื้อนมาจากเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศพม่า และอีก ร้อยละ 30.3 มาจากเหมืองทองคำ สารปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตแดนของประเทศต้นทาง แต่ได้ไหลหลั่งข้ามพรมแดนเข้ามาตามกระแสน้ำ และแม้จะมีการเจือจางไปบ้างตามระยะทาง แต่ปริมาณที่ตรวจพบก็เพียงพอที่จะสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่

“การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่เพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นเสียงสะท้อนจากธรรมชาติที่กำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลการศึกษาชิ้นนี้

ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเชิงระบบนิเวศที่ไม่อาจมองข้าม

แม้ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์การปนเปื้อนยังอยู่ในระดับที่นักวิจัยระบุว่า “ปลอดภัย” ต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งจากการใช้น้ำบาดาลตื้น การบริโภคพืชผักที่เพาะปลูกริมฝั่งแม่น้ำ และการบริโภคปลาจากแม่น้ำกก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวล คือการตรวจพบ สัญญาณเตือน” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ปลาในแม่น้ำกกมีอาการป่วยผิดปกติ

อาการป่วยของปลานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลโดยตรงจากสารปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะที่อยู่ในน้ำ สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าปลาโดยตรงในทันที แต่กลับค่อยๆ บ่อนทำลายภูมิคุ้มกันของปลา ทำให้ปลาอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนปลาที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิจัยระบุว่านี่คือ ตัวชี้วัดความเสี่ยงเชิงระบบนิเวศ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะหากปลาซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสุขภาพของแม่น้ำได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหมายความว่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อาหารและมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

เดินหน้าประเมินความเสี่ยงและหาทางออก

เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย นักวิจัยกำลังเร่งจัดทำรายงานเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับภายใน 1 เดือน และ 2 เดือนตามลำดับ ซึ่งจะประเมิน แบบจำลองการปนเปื้อน” ที่ครอบคลุมไปถึงการสะสมของสารหนูในน้ำใต้ดินตื้น และดินเกษตรกรรม เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า “เมื่อไหร่ที่สารพิษเหล่านี้จะเริ่มกระทบต่อความปลอดภัยทางอาหาร?” ซึ่งเป็นคำถามที่รอคำตอบและจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือต่อไป หากแหล่งกำเนิดมลพิษยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข

“ดับไฟที่ต้นลม” ด้วยการเจรจาข้ามพรมแดนและเทคโนโลยี AI

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการที่ ต้นเหตุ” ของมลพิษ ไม่ใช่เพียงแค่การบรรเทาผลกระทบที่ปลายน้ำ ดังนั้น การเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศพม่า หรือแม้กระทั่งกับผู้ซื้อแร่ เพื่อ หยุดการปล่อยน้ำเสียจากเหมือง” จึงเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ สถานการณ์ความเสี่ยงก็จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คน

ในขณะเดียวกัน สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ปัญหา แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ โดยกำลังพัฒนา ระบบเฝ้าระวังด้วยวิทยาศาสตร์พลเมืองเสริมด้วย AI” ระบบนี้จะใช้เซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดสารหนูได้อย่างแม่นยำกว่า 71% และที่สำคัญคือสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐและจังหวัด คาดว่าจะเริ่มทดสอบใช้งานจริงภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากระบบนี้ใช้งานได้ผลจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

การผสานพลังเพื่ออนาคตของแม่น้ำกก

รายงานฉบับนี้จึงมีความสำคัญในหลายมิติ ไม่เพียงแต่สะท้อนสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่ยังชี้แนะแนวทางการป้องกัน ฟื้นฟู และเตือนภัยล่วงหน้าด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังจากภาครัฐ นักวิจัย และประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและทันเวลา

เรื่องราวของแม่น้ำกกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของมลพิษจากสารหนูและโลหะหนักเท่านั้น แต่มันเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึง “สัญญาณเตือน” จากธรรมชาติ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)
  • มหาวิทยาลัยนเรศวร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News