ศุภจี” คลายปมเศรษฐกิจด้วย 7 นโยบายพาณิชย์ เดินเครื่อง “Quick Big Win” ลดภาระประชาชน–หนุนส่งออก–อุดช่องโหว่การค้า ดึงเอกชนสุขภาพร่วมลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568 — ใเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการจากส่วนกลาง พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์จากกว่า 50 แห่งทั่วโลก “เสียงสัญญาณ” ของการเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจดังชัด เมื่อ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศ 7 นโยบายสำคัญ ที่จะเดินหน้าแบบ “Quick Big Win”—ทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายประโยชน์เร็ว—โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายการวาง “รากฐานยั่งยืน” สำหรับเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สารตั้งต้นของนโยบายชุดนี้มีสองชั้นความหมายที่ขนานกันเดิน ชั้นแรกคือ การคลี่คลายปมเร่งด่วน—ภาษี การค้าชายแดน ค่าครองชีพ เกษตร—เพื่อบรรเทาความเปราะบางของครัวเรือนและผู้ประกอบการ หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่องหลายปี ชั้นที่สองคือ การวางรางวิ่งใหม่ ผ่าน FTA ดิจิทัลเทรด และการใช้ AI กับกฎระเบียบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทย ก้าวจากการตามให้ทัน ไปสู่การนำบางสมรภูมิ

1) ภาษีสหรัฐฯ–ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (ART) และ “ดิจิทัล C/O” ปิดช่องทุจริต–เร่ง AD ด้วย AI

กระทรวงพาณิชย์วางหมุดวันที่ ธันวาคม 2568 สำหรับการสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ เดินคู่กับการยกระดับ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) สู่ ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งผลลัพธ์เริ่มชัด—จาก “หลักร้อยกรณี/ปี” ของเอกสารปลอม เหลือ 5 กรณีในปี 2567 และ ไม่พบในปี 2568

อีกด้านหนึ่ง กระบวนการ ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping AD) ที่เคยกินเวลายาว 12–18 เดือน จะถูก บีบเหลือ 9 เดือน ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และพิสูจน์หลักฐาน เพื่อ คุ้มครองผู้ประกอบการไทยเร็วขึ้น ลดความเสียหายจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาดโลก

สัญญาณต่อผู้ส่งออก ชัดเจนว่าไทยกำลัง “ปัดฝุ่นเครื่องมือ” ให้เข้ายุค—โปร่งใส คล่องตัว และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานได้จริง ซึ่งจะสะท้อนเป็นความเชื่อมั่นจากคู่ค้า และลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิที่บั่นทอนเครดิตประเทศ

2) การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยคน–ช่วยร้านเล็ก–เร่งหาตลาดทดแทน

ภายใต้สถานการณ์ชายแดนที่ผู้ค้าหลายพื้นที่ รายได้สะดุด กระทรวงพาณิชย์จัดชุดมาตรการตรงจุด—ตั้งแต่ มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ, สนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพื่อพยุง ผู้ประกอบการรายย่อย, จัดช่องทางตลาดใหม่ทดแทน พร้อมสั่งการ พาณิชย์จังหวัด ใน 7 จังหวัดชายแดน ให้ อยู่หน้างาน ประสานงานใกล้ชิดประชาชนและผู้ค้า

มาตรการชุดนี้มี จุดเน้นเชิงคุณภาพ คือรักษา “ชีพจรกิจกรรมเศรษฐกิจ” ไม่ให้สะดุด—เมื่อชายแดนฝั่งหนึ่งชะลอ ก็ เลี้ยวหาตลาดใหม่ ให้ร้านเล็กอยู่รอดได้ระหว่างรอการฟื้นตัว

3) FTA และบุกตลาดใหม่ จับชีพจรโลก–ต่อท่อโอกาส

บนเข็มนาฬิกาการค้าโลก ไทยพุ่งเป้าหลายแนวรบพร้อมกัน

  • FTA ไทย–เอฟตา (EFTA) ตั้งใจให้ มีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 2569
  • FTA ไทย–อียู พยายาม ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาส 1/2569
  • FTA ไทย–เกาหลีใต้ ตั้งใจ ปิดดีลภายในปี 2568

ควบคู่กันคือการใช้เครือข่าย ทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่ง “บุกตลาดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย–ยูเออี), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และ อาเซียน (เวียดนาม) โดยใช้รูปแบบ จับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย (B2B Matching) และกิจกรรมเจรจา เชิงรุก–เฉพาะสินค้า เพื่อดึงดีมานด์ที่สอดคล้องกับ โครงสร้างการผลิตไทย มากกว่าเกมปริมาณ

ตัวเลขคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ตั้งความหวังต่อภาพรวมการส่งออก ปีนี้โต 6–7% สูงกว่าเป้าเดิม—ตัวเลขที่สะท้อนความเชื่อว่าการเปิดตลาดใหม่และเครื่องมือ FTA จะกลบแรงต้านจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มแรง

4) ดูแลค่าครองชีพ ธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี + จับมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดราคายาเปิดทางเลือกซื้อยานอก รพ.

ด้าน ค่าครองชีพ—หัวใจของเศรษฐกิจครัวเรือน—กระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้า มหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี เป้าหมาย ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อม “ดีลใหญ่” ในภาคสุขภาพ MOU กับ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ให้ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน และ เปิดทางเลือกให้ซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล ซึ่ง คาดลดรายจ่ายประชาชนได้ราว 32,400 ล้านบาท/ปี ทั้งยังช่วย ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ และเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อมั่นใน ความโปร่งใสของราคา

เสียงสะท้อนจากเอกชนสุขภาพ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุสมาคมฯ ยินดีร่วมมือ ชี้หลายโรงพยาบาลประกาศราคาและส่งข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงอยู่แล้ว และพร้อมยกระดับให้ “เห็นชัด ประกอบการตัดสินใจได้จริง” โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์

ภาพใหญ่ของมาตรการนี้สอดคล้องกับบริบทตลาด ttb analytics ที่ประเมินว่า รายได้รวมภาคโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 แตะ 3.22 แสนล้านบาท โตต่อเนื่องจากโครงสร้างประชากรและความต้องการบริการสุขภาพ—จังหวะนโยบายจึงมุ่ง เพิ่มทางเลือกและความโปร่งใส เพื่อลดภาระประชาชน โดยไม่บั่นทอนมาตรฐานการให้บริการของเอกชน

5) รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัส “ข้าว” และการเชื่อมส่งออก

สำหรับภาคเกษตร—กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจฐานราก—กระทรวงวาง แพ็กเกจเสถียรภาพราคา โดยเฉพาะ ข้าว ที่คาดผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน และมี สต๊อก 3.5 ล้านตัน มาตรการประกอบด้วย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อชะลอการขาย, บทบาทสหกรณ์รับสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ส่งออก จะเร่งการขายทั้ง จีทูจีกับจีน (ขึ้นจาก 280,000 ตัน 500,000 ตัน) และการทำ MOU กับญี่ปุ่น–สิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตา

เหนือมาตรการเชิงปริมาณ กระทรวงยังผลักดัน การปรับตัวสู่พืชคุณภาพสูง—เช่นสินค้าที่มี GI หรือพืชที่ตลาดเฉพาะต้องการ—เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันราคาต่ำและความผันผวนสภาพอากาศ ซึ่งจะยกระดับ รายได้ต่อไร่ มากกว่าการยึดติดแต่ปริมาณผลผลิต

6) เสริมแกร่ง SMEs เปิดตลาดยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีการค้า

SMEs ไทยเป็นทั้ง ผู้จ้างงานหลัก และ ต้นทางนวัตกรรมท้องถิ่น นโยบายจึงมุ่งสามแนว

  1. เข้าถึงตลาดใหม่—เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา—ผ่านเครื่องมือทูตพาณิชย์และโครงการเจรจาเฉพาะภูมิภาค
  2. ยกระดับคุณภาพความน่าเชื่อถือ ด้วยตรารับรองอย่าง Thailand Trust Mark และ Thai SELECT เพื่อให้ “แบรนด์ไทย” ข้ามพรมแดนได้ง่าย
  3. เครื่องมือดิจิทัลของรัฐ ผ่านแพลตฟอร์ม “MOC+” เป็น One-Stop ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์คำปรึกษาสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนเวลาในการทำธุรกรรมกับรัฐ

7) ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และดัน e-Commerce ท้องถิ่นสู่สากล

บนสนามกฎระเบียบ กระทรวงตั้งเป้า ไล่เคลียร์อุปสรรค ที่ขัดการทำธุรกิจ และนำ AI มาช่วย เก็บวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน เพื่อออกมาตรการเท่าทันสถานการณ์อย่าง แม่นเร็วตรงจุด ควบคู่กับการขยาย ช่องทาง e-Commerce ให้ สินค้าท้องถิ่น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ—จาก OTOP สู่ “Global Niche Brand” ที่ขายเรื่องราวและมาตรฐานมากกว่าราคาต่อชิ้น

“Quick Big Win” ที่ไม่ใช่แค่คำ จากตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ครัวเรือน

คำว่า Quick Big Win จะเป็นแค่วาทกรรมไม่ได้—กระทรวงจึงชูตัวชี้วัดที่ เห็นผลในชีวิตจริง

  • ยาและเวชภัณฑ์  หาก MOU กับเอกชนเดินเต็มรูปแบบ การเปิดเผยราคาและทางเลือกซื้อยานอก จะ ลดรายจ่ายได้กว่า 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ตามกรอบที่ประกาศ พร้อมช่วย ลดแออัด รพ.รัฐ
  • ทุจริตเอกสารการค้า  ดิจิทัล C/O ทำให้คดียุบจาก หลักร้อย 5 → 0 ในสองปี—คือการฟื้น เครดิตการค้าไทย ด้วยข้อมูลจริง
  • AD เร็วขึ้น  จาก 12–18 เดือน เหลือ 9 เดือน—คือการลด ความเสียหาย ผู้ประกอบการในโลกการแข่งขันกดดันสูง
  • ธงฟ้า 1,300 ครั้ง ลด ภาระค่าครองชีพ 5,000 ล้านบาท/ปี—ตัวเลขที่สะท้อนการส่งแรงช่วยตรงถึงกระเป๋าประชาชน

หากย้อนมองจาก “เชียงราย” เมืองชายแดนเกษตรท่องเที่ยว

สำหรับ เชียงราย และกลุ่มจังหวัด ล้านนาตะวันออก นโยบายชุดนี้มีผลที่จับต้องได้หลายมิติ

  1. การค้าชายแดน การรักษาช่องทางค้าข้ามแดน—ทั้งทดแทนและเพิ่มเติม—สำคัญต่อเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงของ–แม่สาย การบุกตลาดตะวันออกกลางเอเชียใต้ เชื่อมกับ โลจิสติกส์ระบบราง ที่กำลังเปิดหน้าใหม่ จะต่อท่อโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
  2. เกษตร เชียงรายเป็น “ฐานข้าว–พืชคุณภาพ–กาแฟ–ชา” มาตรการชะลอขาย–สหกรณ์–ผลักดัน GI/พรีเมียม จะช่วยให้ ราคาหน้าฟาร์มมีเสถียรภาพ และยก มูลค่าเพิ่ม ในสินค้าที่มีเรื่องเล่าและแหล่งกำเนิดชัด
  3. SMEs–ท่องเที่ยว ตรารับรองแพลตฟอร์ม MOC+ และ e-Commerce จะช่วยให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงลูกค้าไกลกว่าตลาดเดิม ขณะที่แพ็กเกจ FTA/ตลาดใหม่ สามารถกลายเป็น “รันเวย์สู่ต่างประเทศ” ของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย
  4. ค่าครองชีพ–สุขภาพ ทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลเอกชน—เมื่อขยายครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดน—จะช่วย ลดค่าใช้จ่ายฉับพลัน ให้ครัวเรือน โดยไม่ต้องรอคิวในระบบรัฐในกรณีโรคทั่วไป

เสียงสะท้อนและโจทย์ต่อไป

แม้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะ ยินดีร่วมมือ แต่ก็สะท้อนความจริงว่า ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนต่างจากร้านยาภายนอก (เภสัชกร มาตรฐานเก็บรักษา ระบบควบคุมคุณภาพ) จึงต้องออกแบบมาตรการให้ สมดุล—โปร่งใส—แข่งขันเป็นธรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาไม่ถดถอย ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐจำเป็นต้อง สื่อสารข้อมูลราคา ให้ประชาชนเข้าใจบริบทต้นทุน เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ด้าน FTA แม้เป็น รันเวย์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นกับ ศักยภาพแข่งขัน ภายในประเทศ—ตั้งแต่ กฎระเบียบอำนวยความสะดวก, โลจิสติกส์–ดิจิทัล, ไปจนถึง ทักษะแรงงาน ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ถ้าการเปิดตลาดเร็วกว่า ยกระดับขีดความสามารถ ไทยอาจเจอ “การบ้านในบ้าน” ที่หนักหน่วงพอกัน

เมื่อ Quick Win ต้องวางคู่กับ “ฐานยั่งยืน”

ท้ายที่สุด ศุภจี สรุปทิศทางว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนวันนี้ ไม่ใช่แค่ Quick Win แต่คือการ วางรากฐาน ที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน”—คำกล่าวที่วางกรอบการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในบทบาท ตัวเชื่อม” ระหว่างครัวเรือนไทย–ผู้ประกอบการ–ตลาดโลก

ในห้วงเวลาที่ครัวเรือนเผชิญค่าครองชีพสูง—ตั้งแต่ตะกร้าสินค้าจนถึงค่ายา—นโยบายที่ ลดรายจ่ายทันที ควบคู่กับการ ต่อท่อรายได้ใหม่ จาก FTA และตลาดเกิดใหม่ คือสูตรที่ รักษาลมหายใจระยะสั้น และ บ่มเพาะความแข็งแรงระยะยาว ไปพร้อมกัน

หาก ตัวเลขคดี C/O ปลอมเหลือศูนย์, AD เร็วขึ้นเป็น 9 เดือน, ธงฟ้าลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้า, และ MOU ด้านยาสุขภาพ ขยายครอบคลุมจนประชาชนรู้สึกได้จริง—“Quick Big Win” จะกลายเป็นมากกว่าวลีในสไลด์ แต่เป็น การเปลี่ยนสมการชีวิตของผู้คน ที่ปลายทางของนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce, Thailand)
  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • กรมการค้าภายใน
  • กรมการค้าต่างประเทศ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์/พาณิชย์จังหวัด
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) / กรมการค้าต่างประเทศ
  • สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics)
  • Hfocus/สื่อสาธารณสุขเชิงนโยบาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News