การประชุมแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 โดยรองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มหาดไทย) เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อติดตามปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยมีหน่วยงานต่างๆ และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ เพื่อรับมอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์หมอกควัน

รองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM 2.5 และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแม้ในช่วงที่เดินทางไปต่างประเทศ โดยตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีอยู่ต่างประเทศ ได้มีการติดต่อประสานงานและเรียกประชุมหารือกับตนเองทุกเวลา เพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหานี้

การแต่งตั้งที่ปรึกษากองบัญชาการปภ.ช.

ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งผู้แทนสำคัญหลายท่านเพื่อเป็นที่ปรึกษาของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม, นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, รวมทั้ง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะรับผิดชอบในการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจสถานการณ์ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5

สถานการณ์หมอกควันในภาคเหนือ

อนุทินกล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ได้เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยเฉพาะใน 17 จังหวัดภาคเหนือที่มีการเผาวัชพืชและผลผลิตทางการเกษตรอย่างมาก ซึ่งเป็นพื้นที่ Hotspot ที่มีปัญหาหมอกควันฝุ่น PM 2.5 สูงที่สุด ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศห้ามเผาและกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาสถานการณ์ โดยใช้ระบบบริหารจัดการแบบ Single Command เพื่อให้การทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานมีความเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ

การบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน

รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเกิดผลอย่างแท้จริง โดยให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกันและทำงานอย่างเป็นทีม โดยไม่มุ่งหวังให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการเพียงลำพัง

มูลเหตุสำคัญจากการเผา

อนุทินยังกล่าวต่อว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหมอกควันและมลพิษ PM 2.5 คือการเผาวัชพืชและซากพืชทางการเกษตร หากไม่ให้ประชาชนเผาทำลายซากพืชเหล่านี้ จะช่วยลดมลพิษได้อย่างมาก โดยการเผานั้นไม่ได้มีแค่ผลกระทบในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย จึงมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเกษตรกร

นายอนุทินกล่าวว่า การเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศได้รับการเปลี่ยนแปลง โดยเกษตรกรหันมาผลิตพืชระยะสั้นแทนพืชผลทางการเกษตรระยะยาว เช่น มะม่วง ทุเรียน หรือมังคุด ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการเก็บเกี่ยว ซึ่งทำให้เกิดการเผาเศษวัชพืชมากขึ้น เนื่องจากพืชผลเหล่านี้ไม่ได้ให้ผลทันที และต้องเร่งปลูกพืชใหม่จึงต้องใช้การเผาเป็นวิธีการจัดการที่สะดวกและรวดเร็ว

แนวทางในการลดมลพิษจากการเผา

สำหรับการลดมลพิษจากการเผา การใช้วิธีการใหม่ๆ เช่น การฝังกลบ หรือการแปรสภาพเศษวัชพืชไปเป็นพลังงานชีวภาพ หรืออาหารสัตว์ รวมทั้งการทำปุ๋ยชีวภาพ เป็นทางเลือกที่รัฐบาลสนับสนุน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือในด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จำเป็น

ความเสียหายจากหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความเสียหายจากหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อสถานการณ์เริ่มเกิดผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน

มาตรการในการช่วยเหลือชาวบ้าน

การใช้เงินช่วยเหลือเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อชดเชยความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันฝุ่น PM 2.5 โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือในระยะยาว รวมทั้งมาตรการในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในอนาคต

บทสรุป

การแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น และประชาชน เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการลดมลพิษและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR