
เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศทั้งอบจ.และเทศบาล กว่า 2,500 แห่ง กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคผู้บริหารท้องถิ่นชุดใหม่ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนและสังคมร่วมกันจับตาการใช้จ่ายงบประมาณและการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หลังจากมีผลวิจัยโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยชี้ว่า จะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 20,000–40,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินมหาศาลนี้มักจะกลายเป็นต้นทุนทางการเมืองที่กลุ่มอิทธิพลพยายามถอนทุนคืนผ่านกลไกของโครงการสาธารณะหลากหลายประเภท
จุดเสี่ยงโครงการรัฐทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ–เงินภาษีสูญเปล่า
นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาโครงการรัฐที่ “ทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” เป็นภาพสะท้อนวัฒนธรรมคอร์รัปชันและความไร้ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณในประเทศ ที่พบเห็นได้ตั้งแต่ศูนย์โอทอป ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โรงน้ำดื่มประชารัฐ บ้านพักเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงสนามกีฬา ฯลฯ เหล่านี้ต่างใช้เงินภาษีของประชาชนเป็นทุนสร้าง หากแต่ท้ายที่สุดกลับต้องกลายเป็นอนุสรณ์ของความล้มเหลวหรือช่องทางทุจริตซ้ำซาก
ขณะที่ผลวิจัยชี้ว่า งบประมาณที่สูญเปล่าจากโครงการเหล่านี้รวมกันอาจสูงนับหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ภาครัฐก็ยังไม่สามารถระบุจำนวนโครงการที่ถูกทิ้งร้างได้อย่างชัดเจน เพราะขาดระบบติดตามประเมินผลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญอีกประการ คือ การเมืองท้องถิ่นที่ถูกอิทธิพลของกลุ่มทุนและกลุ่มผลประโยชน์ครอบงำ ทั้งจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้า และผู้รับเหมาที่ร่วมวางแผนจัดซื้อจัดจ้าง และจ่ายเงินทอนอย่างเป็นระบบ
รูปแบบทุจริต“โครงการเพื่อใคร–ใครได้ประโยชน์”
การสร้างโครงการรัฐในท้องถิ่นส่วนใหญ่ มักใช้วิธีการ copy-paste หรือ “ก๊อบโครงการ” จากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีการศึกษาความต้องการที่แท้จริง เช่น ระบบประปา เตาเผาขยะ โรงไฟฟ้า สนามกีฬา หรือแม้แต่ศูนย์เรียนรู้ ฯลฯ หลายกรณีเป็นผลจากแรงกดดันจากส่วนกลาง หรือการวางแผนของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำหนดผู้รับเหมาและขบวนการเงินทอนเรียบร้อยตั้งแต่ต้นทาง ทำให้มักเกิดการลดสเปก ตัดเนื้องานหรือหากขบวนการผิดพลาด ผู้รับเหมาขาดทุนจนต้องทิ้งงานไว้กลางทาง
อีกส่วนหนึ่งของโครงการที่เป็น “งานของผู้ใหญ่” หรือโครงการขนาดใหญ่ในระดับจังหวัด มักถูกล็อกสเปกหรือเขียน TOR ให้เฉพาะเจาะจง เช่น กรณีอควาเรียมหอยสังข์ที่สงขลา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในป่าสงวน โครงการสนามฟุตซอล 37 แห่ง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ใช้งบประมาณมหาศาลและเมื่อเกิดปัญหาก็ยากจะหาผู้รับผิดชอบ
ความมักง่าย+ผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากทุจริตโดยตรงแล้ว ความมักง่ายและขาดการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญ หลายโครงการเกิดขึ้นโดยไม่ถามความต้องการของชุมชน ไม่ศึกษาความเป็นไปได้ หรือเลือกที่ดินที่ห่างไกลชุมชน พอสร้างเสร็จก็กลายเป็นภาระในการบริหารจัดการต่อ หรือต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมเพิ่มเติม จนกลายเป็น “ภาระงบฯ บานปลาย” ไปในที่สุด ขณะที่โครงการบางประเภท เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการถูกยุบ เช่น สิ่งปลูกสร้างรองรับสถานการณ์โควิด ก็กลายเป็นอาคารร้างใช้ประโยชน์เพียงครั้งเดียว
ศรัทธาประชาชนและทรัพยากรประเทศถูกทำลาย
แม้จะมีการร้องเรียนและตรวจสอบโดย สตง. หรือ ป.ป.ช. บ้าง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ หรือกระบวนการตรวจสอบที่ยาวนาน ขณะที่ผลวิจัยระบุว่าคนใน อปท. กว่า 21% ยอมรับว่าเคยพบเห็นการทุจริตในองค์กร แต่มีเพียง 4% ที่กล้าร้องเรียน ปัญหาเหล่านี้ตอกย้ำภาพว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนงบประมาณ แต่กลับสูญเสียโอกาสพัฒนาจากคอร์รัปชันและการบริหารจัดการที่ล้มเหลว
ทางออกร่วมตรวจสอบ–เพิ่มกลไกภาคประชาชน
ล่าสุด สำนักตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณและโครงการรัฐผ่าน Government Innovation Lab และกลไกคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสและกระตุ้นภาคประชาชนให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล ตั้งแต่การเริ่มโครงการจนสิ้นสุด
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันเป็น “หูเป็นตา” ติดตาม ตรวจสอบ และรายงานข้อสงสัยในทุกขั้นตอนของโครงการท้องถิ่น เพื่อให้เงินภาษีของประชาชนถูกใช้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดการเกิด “โครงการทิ้งร้างสร้างไม่เสร็จ” ที่บั่นทอนศรัทธาและความมั่นคงของประเทศ
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.