
ประเทศไทย, 13 สิงหาคม 2568 — ในบ่ายวันที่อากาศอบอ้าว กระแส “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT แผ่กว้างบนหน้าฟีดและโต๊ะเสวนาทั่วเมือง ข้อเขียนชิ้นนี้โดย มานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ตั้งคำถามตรง ๆ ต่อรัฐบาลที่เพิ่งครบรอบหนึ่งปีภายใต้การนำของ “แพรทองธาร” ว่า “เอาจริงกับการปราบโกงหรือไม่” พร้อมเรียงเหตุผลเจ็ดข้อที่สะท้อนภาพ “ไร้ทิศทางไร้กลไกไม่ตั้งใจปราบโกง” และลงท้ายด้วยข้อเสนอเชิงระบบเพื่อฟื้นศรัทธาผ่านการสร้าง “รัฐโปร่งใส” แบบเปิดเผยข้อมูลและเอื้อต่อการตรวจสอบของสาธารณะ
ท่ามกลางเสียงถกเถียงทางการเมือง ตัวเลขสากลอย่างดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ก็ทิ่มตาไทยได้ 34 คะแนน อยู่อันดับที่ 107 ของโลกในปี 2024 ซึ่งไม่เพียงต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกเกินกว่าแค่มาตรการ “ตามเหตุการณ์” จะเยียวยาได้ทันใจ (อ้างอิงรายงานข่าวเศรษฐกิจและหน้าการเมืองไทยหลายสำนักที่ถ่ายทอดตัวเลขจาก Transparency International)
โครงเรื่องจากความหวังสู่ “เสียดายโอกาส”
หนึ่งปีก่อน สังคมตั้งคำถามต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเดินหน้า “ปฏิรูปเชิงระบบ” สลายป่ามรดกกฎระเบียบซับซ้อน และยกระดับธรรมาภิบาลรัฐ ทว่าตลอดปีที่ผ่านมา ข่าวเศรษฐกิจหลักชิ้นหนึ่งกลับเป็นการโยกวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานชุมชน ท่องเที่ยว ไปจนถึงดิจิทัลพร้อมกรอบการประเมินผลต่อจีดีพีและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ แต่ในอีกมุม สังคมก็ย้อนถามว่า “เมื่อการใช้จ่ายของรัฐขยายตัว เราได้เห็นระบบป้องกันการรั่วไหลเข้มแข็งขึ้นแค่ไหน” คำถามนี้เองที่บ่มเพาะความกังขาในวงกว้าง
ACT จึงหยิบ “วิกฤตความไว้วางใจ” ขึ้นมาเล่าแบบตรงไปตรงมา: เมื่อประเทศเผชิญคอร์รัปชันเรื้อรัง แต่การเมืองยังไม่พิสูจน์ความตั้งใจปราบโกงให้สังคมเห็นความศรัทธาย่อมถดถอย ข้อเขียนของ ACT ไม่ใช่เพียงเสียงวิจารณ์ หากเป็น “ขอร้อง” ให้รัฐสานต่อมาตรการเชิงระบบ นำข้อเสนอที่ถูกศึกษาไว้นานแล้วมาลงมือจริง และเปิดข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบร่วมกันได้
7 เหตุผลที่ทำให้สังคมรู้สึก “รัฐไม่ตั้งใจปราบโกง”
ข้อหนึ่ง ไม่มี “แถลงนโยบายต้านโกงที่จับต้องได้” ต่อสายตาสาธารณะ แม้กรอบเป้าหมาย CPI ที่พูดถึงบนเวทีสภาจะดูท้าทาย แต่ตราบใดที่สังคมยังไม่เห็น “แผนตัวชี้วัดความคืบหน้าเป็นรอบปี” ความเชื่อมั่นก็ยากเกิดจริง
ข้อสอง กลไกเดิมอ่อนแรงกลไกใหม่ไม่ชัด ACT ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐเลิกใช้ “ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.)” ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือบูรณาการหน่วยงาน แม้ศูนย์ฯ ก่อตั้งมาจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2557 เพื่อเร่งคดีสำคัญและอุดช่องโหว่ระบบราชการ แต่ปัจจุบันไม่เห็นบทบาทที่ชัดเจนเท่าเดิม ขณะที่กลไกใหม่ก็ไม่ปรากฏภาพรวมการทำงานต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ
ข้อสาม บริหารแบบ “แก้เฉพาะหน้า” กับเหตุสะเทือนสังคมจากอุบัติภัยสาธารณะ ไปจนถึงข้อกังขาเรื่องงานรัฐ รัฐมักสั่งสอบเยียวยา แต่สังคมยังไม่เห็นรายงานสรุปที่ชี้ “สาเหตุผู้รับผิดชอบมาตรการป้องกันซ้ำ” อย่างเป็นระบบ และสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากหลายกรณีที่ ACT ออกมาตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและหน่วยตรวจสอบอิสระเองด้วยซ้ำ
ข้อสี่ คำมั่น “ปฏิรูประบบราชการปฏิรูปกฎหมาย” ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร ทั้งที่แนวทางอย่าง Regulatory Guillotine การทบทวนยุบปรับเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนเพื่อปิดช่องทุจริตถูกพูดถึงในยุทธศาสตร์ชาติมาหลายปี และถูกแนะนำโดยนักวิชาการ–หน่วยงานกำกับการเงินมาโดยตลอด หากไม่ขยับจริง ความซับซ้อนของใบอนุญาตและกฎเกณฑ์จะยังเป็น “ค่าผ่านด่าน” โดยพฤตินัยต่อไป
ข้อห้า ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ถูกวางไว้บนหิ้ง ACT ชี้ว่าปัญหา “แปะเจี๊ยะนมโรงเรียน ส่วยสินบนใบอนุญาต คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ถูกศึกษาและเสนอทางแก้ต่อครม.ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สังคมยังไม่เห็น “แดชบอร์ดความคืบหน้า” ที่รายงานผลสัมฤทธิ์อย่างสม่ำเสมอ จึงยากจะวัดว่ารัฐบาล “ลงมือจริง” ในระดับนโยบายแค่ไหน
ข้อหก สับสนบทบาทหน่วยงานต้านโกงการให้ ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) เป็น “แม่งานหลัก” ผลัก CPI แทน ป.ป.ช. (ซึ่งมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญและทรัพยากรมากกว่า) อาจสะท้อนความเข้าใจต่อโครงสร้างที่ยัง “ไม่เข้าที่” ยิ่งกว่านั้น หากไม่มีกรอบบูรณาการกับสตง.–สำนักงานอัยการ–ตำรวจ คดีสำคัญก็เสี่ยง “ติดคอขวด” ตามมา
ข้อเจ็ด “เกียร์ว่าง” ระดับพื้นที่เมื่อผู้นำไม่ส่งสัญญาณชัด ข้าราชการต้นน้ำ–ปลายน้ำก็ทำงานแบบ “พิธีกรรม” มากกว่ากัดติดเป้าหมาย วงจรนี้ทำให้คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันระดับจังหวัดซึ่งควรถกเคสเร่งปิดช่องโหว่ กลายเป็นเพียงการประชุมเพื่อ “เช็กชื่อ” มากกว่า “เช็กความคืบ”
ประเด็นทั้งเจ็ดสรุปง่าย ๆ ว่า “นโยบายต้านโกงยังไม่ถูกทำให้ ‘จับต้องได้’ ด้วยเป้าหมาย–แผน–ระบบรายงานผล” นี่คือหัวใจที่ ACT มองว่า “เสียโอกาส” ต่อการฟื้นศรัทธา
ตัวเลขไม่โกหก CPI 34 คะแนน กับความจำเป็นของ “รัฐเปิดเผย”
ปี 2024, Transparency International รายงานว่าไทยได้ 34 คะแนน (จาก 100) รั้งอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ เทียบย่านอาเซียน ภูมิภาคมีทั้งประเทศคะแนนสูงกว่าเราอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่ไต่อันดับขึ้นด้วยแพ็กเกจ “รัฐเปิดเผยคุมข้อตกลงผลประโยชน์ทับซ้อนปกป้องผู้เป่านกหวีด” ตัวเลขนี้ถูกยกเป็น “ไฟแดง” ว่าถ้ารัฐจะตั้งเป้าผลักคะแนนขึ้น สังคมจำเป็นต้องเห็น แผน Open Government ที่ลงรายละเอียดว่าข้อมูลอะไรจะเปิด เมื่อไรในรูปแบบใดโดยใครรับผิดชอบ และวางระบบร้องเรียน–ติดตามผลที่ประชาชนใช้งานง่ายจริง ไม่ใช่เพียงสโลแกน
ประเทศไทยมีฐาน Open Government Data ผ่านพอร์ทัล data.go.th ที่ดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งประกาศชัดเจนว่ามุ่งยกระดับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐสู่นวัตกรรมและความโปร่งใส คำถามคือ “จะยกระดับจาก เปิดข้อมูล ไปสู่ เปิดสัญญา–เปิดงบ–เปิดผลลัพธ์ ได้เร็วแค่ไหน” โดยเฉพาะเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทที่กำลังไหลลงพื้นที่จำนวนมาก
“โยกงบ 1.57 แสนล้าน” บททดสอบรัฐโปร่งใส
กระทรวงการคลัง–สำนักงบประมาณ และคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจระบุว่า งบ 1.57 แสนล้านจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นราว 0.4%, กระจายการลงทุนไปยังโครงสร้างพื้นฐานน้ำคมนาคมท่องเที่ยวดิจิทัลชุมชน พร้อมเป้าหมายการจ้างงาน และการยกเครื่องคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด รายละเอียดเชิงโครงการพื้นที่ผู้รับจ้างกรอบเวลาตรวจรับงาน ถูกประกาศบางส่วนแล้ว แต่การสะสม “ความเชื่อมั่น” อยู่ที่การเปิดสัญญาผลการเบิกจ่ายตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลต้องสื่อสารเชิงรุกเมื่อถูกตั้งคำถาม เช่น ประเด็น “โยกงบเพื่อวาระอื่น” เพื่อไม่ให้ข่าวลือบดบังข้อเท็จจริงทางการคลัง
บทเรียนจากกลไกเดิม ศอ.ตช. และบทบาทหน่วยบังคับใช้
ย้อนดู ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ซึ่งจัดตั้งด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี 226/2557 บทบาทของศูนย์ฯ คือรวบรวมเร่งรัดบูรณาการข้อมูลคดีทุจริตสำคัญกับตำรวจ–ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–อัยการ เพื่อให้ “ลงมือแก้ปัญหาแบบทีม” ช่วงที่ศูนย์ฯ ทำงานเข้ม สังคมเห็นความพยายามผลักเคสข้าม “คอขวด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทนี้จางลงตามโครงสร้างการเมือง นี่ย้ำว่าหากรัฐบาลปัจจุบันอยาก “ส่งสัญญาณจริง” ก็สามารถ “รีบูตกลไกบูรณาการ” ด้วยกรอบอำนาจ–เส้นตาย–ระบบรายงานต่อสาธารณะที่ชัดเจนอีกครั้ง
ด้าน ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) มีภารกิจสอบสวนความผิดวินัยและอาญาเจ้าหน้าที่รัฐ ควบคู่กับการเสนอแนวทางป้องกันทุจริตเชิงระบบ หากรัฐบาลวางให้ ป.ป.ท. เป็นแกนกลางขับเคลื่อน ต้องจัด ทรัพยากรอำนาจแดชบอร์ดข้อมูล ให้เหมาะสม และเชื่อมโยงกับ ป.ป.ช. (องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) และ สตง. อย่างไม่มีรอยต่อ ซึ่งสังคมคาดหวัง “รูปธรรมความร่วมมือ” มากกว่า “คำประกาศ”
จาก “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” สู่ “ปีแห่งรัฐเปิดเผย”
ในทุกวันที่ 6 กันยายน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม จะร่วมกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” ซึ่ง ACT ทำหน้าที่เสาค้ำเวทีมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ACT ประกาศเชิญชวนประชาชน องค์กร สื่อมวลชน ร่วมออกแบบ “ระบบใหม่ที่เปิดทางให้คนดีเติบโต” ผ่านกิจกรรมออนไลน์ออฟไลน์ หัวใจคือ เปลี่ยนพลังรายวันของประชาชนให้เป็นแรงกดดันเชิงบวก ต่อรัฐและองค์กรทุกระดับ ให้ “เปิดอธิบายรับผิดชอบ” เป็นกิจวัตร ไม่ใช่เฉพาะเวลาเกิดเรื่อง
“เราต้องทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็น วาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนมีบทนักการเมืองต้องสร้างพรรคที่มีธรรมาภิบาล นักธุรกิจหยุดจ่ายใต้โต๊ะ ข้าราชการทำงานตามหลักคุณธรรม และประชาชนไม่ยอมรับการโกงทุกรูปแบบ” แนวทางแกนกลางที่ ACT เน้นย้ำตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (ถอดแก่นจากคำประกาศสาธารณะและภารกิจของ ACT)
ประชาชน “ได้อะไร” หากรัฐเดินหน้าตามโจทย์ ACT
เสียง–สถิติ–คำถามชวนคิด
ทางออกเชิงนโยบาย จากคำประกาศสู่ “ระบบ”
“พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข
ข้อเขียน “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ของ ACT ไม่ได้เพียงวิจารณ์ หาก “ปักหมุดทางออก” ว่ารัฐบาลต้องเป็น ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน อย่างแท้จริงด้วยการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก, ทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนมีบทบาท, และทำงานบน “พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข CPI 34 คะแนนและอันดับ 107 ของไทยในปีล่าสุด เป็นสัญญาณเตือนว่า การสื่อสารการเปิดข้อมูลการลงมือ ต้องเกิด “พร้อมกัน” จึงจะดันความเชื่อมั่นขึ้นได้อย่างยั่งยืน
คำถามสำคัญถึงผู้อ่าน–ผู้เสียภาษี–ผู้ประกอบการ–ข้าราชการ คือ: เราพร้อมหรือยังที่จะไม่ยอมรับ “การโกงเล็ก ๆ” ในชีวิตประจำวัน, พร้อมติดตามข้อมูลโครงการรัฐด้วยสายตาของพลเมือง และพร้อมเป็นพลังใน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” 6 กันยายนนี้ เพื่อผลักดันปีต่อไปให้เป็น “ปีแห่งรัฐเปิดเผย” จริง ๆ?
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
Copyright © 2023 by G Good Media Co., LTD. & Nakhon Chiang Rai News. All Rights Reserved.