Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไชยา รมช. เกษตร มอบสัญญายืมโคให้เกษตรกร จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67  ที่ทำการคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอแม่จัน เลขที่ 81 หมู่ 7 บ้านดง ต.สันทราย อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือ ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ โดยมีว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ  จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับ และนายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์นำหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกรชาวเชียงรายเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

.
          ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ได้ส่งมอบโคจากการไถ่ชีวิตโค-กระบือ ของผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อไถ่ชีวิตโค-กระบือเข้าร่วมโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ ให้กับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย นำมาช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์ และสร้างความรัก ความสามัคคีในชุมชน ให้กับวิสาหกิจ ชุมชน กลุ่มเกษตรกร ในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาตามนโยบายของรัฐ ให้เกษตรกรที่มีความ สนใจด้านอาชีพการเลี้ยงสัตว์ และสมัครเข้าร่วมโครงการ ภายใต้เงื่อนไขโครงการธนาคาร โค-กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ ซึ่งเกษตรกรจะต้องคืนลูกตัวแรกเมื่ออายุครบ 18 เดือน ให้กับโครงการ และเมื่อครบสัญญา 5 ปี โครงการฯจะมอบกรรมสิทธิ์แม่โค พร้อมลูกตัวที่ 2 , 3 , 4 ให้กับเกษตรกรต่อไป 

.
          สำหรับในวันนี้ จังหวัดเชียงราย ได้รับสนับสนุนโค จากโครงการธนาคาร โค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริจำนวน 55 ตัว รวมเกษตรกรที่ได้รับสัตว์ทั้งสิ้น จำนวน 55 ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ตามระเบียบของโครงการฯ สมควรได้รับการช่วยเหลือจากโครงการฯ ต่อไป

 

          โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ เป็นโครงการหนึ่งของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกรม ปศุสัตว์เป็นผู้ดำเนินการ และเป็นศูนย์รวมในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน ที่มีอาชีพ ในการทำนา ทำไร่ได้อย่างแท้จริง วัตถุประสงค์ที่สำคัญของธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตาพระราชดำริเพื่อช่วยให้เกษตรกรที่ยากจนทั่วประเทศได้มีโค-กระบือไว้ใช้แรงงาน และเพิ่มผลผลิต ทางการเกษตร เป็นการช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 

.
           ภายในงานมีหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำการบริการแก้ไขปัญหาทางการเกษตรหลายหน่วยงานมาให้บริการ เช่น คลินิกดิน พืช ปศุสัตว์ ประมง ชลประทาน สหกรณ์ บัญชี พืชสวน ยางพารา สาธารณสุข มาให้บริการให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย

 

หลังจากนั้น นาย ไชยา เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรในพื้นที่เดียวกัน พร้อมเปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่ดูแลเกษตรกรในทุกมิติ ทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง ชลประทาน การทำบัญชี การทำงานของสหกรณ์ การผลิตสินค้า รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำเกษตรกรรมให้เกิดรายได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรร่วมชมคูหานิทรรศการของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ นิทรรศการจากกรมหม่อนไหม ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่ 3 ไร่ หากเก็บเกี่ยว 1 ครั้ง สามารถขายได้ราคา 9,000 บาท

 

ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้ 12 ครั้ง ต่อปี และมีนิทรรศการจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่จะมาช่วยผลักดันเกษตรกรให้สามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น 3 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อีกด้วย

 

สำหรับช่วงบ่าย นาย ไชยาเดินทางไปเป็นประธานพิธีมอบโค-กระบือ ให้เกษตรกรยืมเลี้ยงเพื่อการผลิต ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ณ ศาลาแดงหนองซง บ้านหนองแรดใต้ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมอบสัญญายืมโค จำนวน 30 ตัว ให้กับเกษตรกร จำนวน 30 ราย คิดเป็นมูลค่า 840,000 บาท

 

นายไชยา กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติจากพี่น้องเกษตรกรมามอบหนังสือสัญญายืมโคเพื่อการผลิต ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงปศุสัตว์เป็นอาชีพหลัก ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์จะคอยสนับสนุนข้อมูลการเลี้ยงดูต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ปศุสัตว์ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

“ณพลเดช” หวังดัน จ.เชียงราย การเงินโลก – โมเดลสวิตฯ แห่งเอเชีย

 

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ดร.ณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳 ระบุจากที่เป็นคนเชียงรายแท้ๆ วันนี้ไม่ได้ข้ามมายังแผ่นดินลาวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำมานาน ผมเคยมาที่นี่น่าจะเกิน 30 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก กลางคืนเป็นเมืองไม่หลับใหลแบบฮ่องกง กลางวันเป็นแหล่งท่องเที่ยวในหลายรูปแบบ จากที่ทราบคือ ประเทศลาวให้ นักลงทุนชาวจีนมาลงทุนระยะยาว จึงเกิดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และ”เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” รวมทั้งกาสิโน ต้องบอกว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ถ้ามองในสายตาของผมแล้ว หากปล่อยให้เจริญขึ้นเอง ก็คงจะใช้เวลาอีกพันปี แต่พอให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ 

 

ผมเห็นคนลาวที่ไม่มีงานทำ ก็มีอาชีพลืมตาอ้าปากได้ ไม่เพียงชาวลาว คนพม่าก็มาทำงานจำนวนมาก ด้วยแผ่นดินตรงนี้เชื่อม 3 ประเทศ โดยคั่นด้วยแม่น้ำโขง ประกอบด้วย ไทย-ลาว-พม่า โดยมียักษ์ใหญ่คือจีน เชื่อมโดยการเดินทางอยู่ไม่เกิน 6 ชม. ในการเดินรถไฟความเร็วสูงการเดินทางโดยเครื่องบินก็ง่ายเพราะอยู่ตรงกลาง และเชียงรายมีสนามบิน นานาชาติ น่าสนใจเข้าไปอีกมีทางเชื่อมออกทะเลทางเวียดนามและพม่า หมายความว่า สามารถจะเชื่อมทางธุรกิจขนาดใหญ่อย่างน้อย 5 ประเทศ ที่อยู่ใกล้กัน

 

การลงทุนฝั่งลาว มีการลงทุนสัมปทานพื้นที่จากกลุ่มทุนจีนชื่อ กลุ่มดอกงิ้วคำ เป็นบริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงที่มีจ้าวเหว่ย กลุ่ม คิงส์โรมัน บริหาร ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ในสายตาของผมเราไม่ต้องอิจฉาเขาหรือไม่ต้องไปแข่งกับเขาเลยครับ ถ้าประเทศไทยเราใช้ยุทธศาสตร์ในฐานะ อยู่กึ่งกลางของทุกประเทศข้างต้น ออกกฎหมายที่เหมาะสม เชียงรายจะกลายเป็นเมืองการค้าการลงทุนที่ใหญ่มาก 
 
 
ในภูมิภาคนี้ ไม่แน่อาจกลายเป็นศูนย์กลางทาง Finance แบบสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยภูมิประเทศโอบล้อมด้วยแผ่นดินรอบล้อมด้วยประเทศต่างๆ ไม่ติดทะเล ปลอดภัยจากสงครามจากทางทะเล อาจนำไปสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ผนวกกับ เชียงราย โดยเฉพาะเชียงแสน เป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีศิลปะและวัฒนธรรม ที่ยาวนาน เราจะสามารถขายการท่องเที่ยวขายเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นให้ต่างชาติ มาเยี่ยมชมเราได้อีกมาก
 
 
พอเดินทางกลับจากประเทศลาว ผมจึงถือโอกาสไปรดน้ำดำหัวท่านศุลกากรเชียงของ และได้ถือโอกาสหารือกับนายด่านเชียงของ ถึงแนวคิดการ ผลักดันการค้าชายแดน ที่เชียงของที่เชื่อมกับถนน R3A ของลาวเชื่อมทางรถไฟความเร็วสูงสู่จีน นายด่านให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ตรงนี้ผมเริ่มเห็น โอกาสภูมิประเทศของเชียงราย ที่คล้ายกับสวิสเซอร์แลน การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจทั้งการเงินการธนาคาร ธุรกิจการค้าขาย แน่นอนหากมีการหมุนเม็ดเงินลงทุนมาสู่เชียงราย อาจนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งของโลก 
 
 
เบื้องต้นต้องผลักดันเชียงราย-เชียงใหม่ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเสียก่อน โดยออกกฎหมายเฉพาะ และเชิญชวนองค์กรสันติภาพระหว่างประเทศมาตั้งสำนักงานที่นี่ ดึงการค้าการเงินการธนาคาร เพื่อผลักดันการเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยมีความมั่นคงอยู่แล้ว อีกทั้งเชื่อมโยงระบบคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ให้สะดวกขึ้น และดึงเม็ดเงินมาลงในพื้นที่ ก็อาจจะทำให้เชียงราย-เชียงใหม่ กลายเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย อย่างไรผมจะลองเอาโมเดลนี้ไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไปครับ
 
นอกจากความร่ำรวยระดับโลกแล้ว ฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ปลอดภัย ที่นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่น และครอบครองเมื่อตลาดผันผวน
 
 
โดยปัจจัยที่ทำให้ฟรังก์สวิส เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน
นั่นก็คือ
1. ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง และมีความน่าเชื่อถือ
2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
3. ความเป็นเอกภาพ และเสถียรภาพทางการเมือง
4. ปัจจัยสุดท้ายคือ สถานะความเป็นกลางของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง สูมาคารวะ สระเกล้าดำหัว วัฒนธรรมจังหวัดเจียงฮาย

 
เมื่อววันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย สูมาคารวะ สระเกล้าดำหัว วัฒนธรรมจังหวัดเจียงฮาย ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง 2567” ในเทศกาลสงกรานต์ 2567

 

บุคลากรสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมรดน้ำดำหัว นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เพื่อขอพรเนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ และปีใหม่ล้านนา ประจำปี 2567 เพื่อความเป็นสิริมงคล และขอพรเนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์ และวันขึ้นปีใหม่ไทย ซึ่งถือเป็นการสืบทอด ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาวเหนือมาแต่โบราณ

 

ประเพณีรดน้ำดำหัว เป็นสิ่งที่ทำต่อเนื่องกันมายาวนานในปีใหม่ไทย เป็นการแสดงความเคารพและความกตัญญูต่อบิดามารดา ผู้ใหญ่ และผู้มีพระคุณ ด้วยความเชื่อที่ว่า เป็นการขอขมาลาโทษ พร้อมทั้งรับคำอวยพรเพื่อสิริมงคลของชีวิต และประเพณีนี้ยังทรงคุณค่ามาจนทุกวันนี้

 

ประเพณีสงกรานต์ หรือที่รู้จักกันดีว่าคือวันขึ้นปีใหม่ไทย ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง หมายถึงการขึ้นศักราชใหม่หรือปีใหม่ตามปฏิทินสุริยคติ โดยคำว่า สงกรานต์ เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายไป ในที่นี้คือ การเคลื่อนย้ายของพระอาทิตย์จากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ ถือเป็นการเคลื่อนที่สำคัญ จึงเรียกว่า มหาสงกรานต์
ใน พ.ศ. 2432 ได้ประกาศให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ จนถึง พ.ศ. 2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ตามหลักสากล คือ วันที่ 1 มกราคม ส่วนเทศกาลสงกรานต์หรือการขึ้นปีใหม่แบบเดิม ได้กำหนดให้ตรงกับวันที่ 13 – 15 เมษายน ของทุกปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

เชียงราย รับโล่เชิดชูเกียรติ คุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ปี 66

 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567 เวลา 09.00 –  13.30 น. ณ ห้องประชุมนิทรรศการ 5 ชั้น 1 อาคารหอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พาณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รองประธานกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ มอบหมายให้ นางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในงานพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนจากชุมชน องค์กร  อำเภอ และจังหวัด เข้าร่วมพิธีดังกล่าว ณ ห้องนิทรรศการ 5 ชั้น 1 อาคารหอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

 

       ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายมีผู้เข้ารับโล่เชิดชูเกียรติชุมชน องค์กร อำเภอคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จากนางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ดังนี้

  • นายวุฒิกร คำมา นายอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เข้ารับโล่รางวัล “อำเภอคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น”
  • นายรัฐกานต์ ปาระมี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่จัน เข้ารับโล่รางวัล “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น”
  • พระครูปิยวรรณพิพัฒน์ เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย ตำบลสันกลาง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เข้ารับโล่รางวัล “ชุมชนคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” และนางพรศิริ คำมา เข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วย

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยบุคลากรในสังกัดสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมรับชมพิธีดังกล่าวผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ระบบ Facebook Live

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

อบจ.เชียงราย ร่วมสักการะ และสืบสาน ประเพณีไหว้สาพญามังราย อ.พญาเม็งราย

 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2567 เวลา 08.30 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน “ไหว้สาพญามังราย ประจำปี 2567“ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ อบจ.เชียงราย มอบงบประมาณสนับสนุนในการจัดงานไหว้สาพญามังราย จำนวน 200,000 บาท ณ คุ้มพญาเม็งราย ม. 3 ต.เม็งราย อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย โดยมีนายชูสวัสดิ์ สวัสดี นายอำเภอพญาเม็งราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ อ.พญาเม็งราย ร่วมให้การต้อนรับ และร่วมกิจกรรมดังกล่าว
 
 
อ.พญาเม็งรายเป็นอำเภอเดียวในจังหวัดเชียงราย ที่ได้อัญเชิญพระนามของ “พญามังรายมหาราช” กษัตริย์ผู้สร้างเมืองเชียงรายมาเป็นชื่อของอำเภอ ตามตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ครั้งหนึ่งพญามังรายมหาราช เคยนำกองทัพจะไปตีเมืองผาแดง หรือ อ.เชียงของ ในปัจจุบัน พระองค์ได้ทรงหยุดพักไพร่พลบริเวณป่าละเมาะ ซึ่งเป็นเนินดินเตี้ยๆ เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ และได้เสด็จพักผ่อนเป็นการส่วนพระองค์ไปตั้งไก่ป่าที่สันกลางทุ่งนา จากนั้นที่แห่งนี้ได้รับการบอกเล่าสืบๆ กันมาว่าเป็น “ซุ้มตั้งไก่พญามังราย” หรือ “คุ้มพญามังราย” ในปัจจุบัน 
 
 
คุ้มพญาเม็งราย ถือเป็นศูนย์รวมใจของพี่น้องชาว อ.พญาเม็งรายและอำเภอใกล้เคียง ซึ่ง อ.พญาเม็งรายร่วมกับส่วนราชการ หน่วยงานภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้องประชาชนชาว อ.พญาเม็งราย ได้กำหนดจัด “งานไหว้สาพญามังราย” ขึ้น เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พญามังรายมหาราช เป็นประจำทุกปี อีกทั้งเป็นการส่งเสริม สืบสาน อนุรักษ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงาม ของพี่น้องชาว อ.พญาเม็งราย และจังหวัดเชียงราย ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของพี่น้องชาว อ.พญาเม็งราย ให้มีแหล่งจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้าพื้นบ้าน สินค้า OTOP พร้อมประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้ อ.พญาเม็งราย เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น
 
 
สำหรับการจัดงานไหว้สาพญามังรายประจำปี 2567 ได้กำหนดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การประกวดขบวนแห่เครื่องสักการะ การประกวดร้านนิทรรศการและภูมิปัญญาชาวบ้าน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง การประกวดอ่านค่าวพื้นเมืองและคำปั๋นปอน การประกวดอาหารพื้นเมือง การประกวดไก่สวยงาม (ไก่ต่อ-ไก่ตั้ง/ไก่แจ้/ไก่ลาย) การประกวดผลผลิตทางการเกษตร การเดินแบบผ้าไทยใส่สนุก การประกวดรำวงย้อนยุค การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งชายและหญิงประเภทกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ และประเภทผู้บริหารและสมาชิกส่วนท้องถิ่น การประกวดธิดาพญามังราย การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP และกิจกรรมสอยดาวและในเวลา 11.00 น. นายก นก นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ อบจ.เชียงราย เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสรงน้ำอนุสาวรีย์พญามังรายมหาราชและพระธาตุเขาแก้ว ณ วัดเขาแก้ว อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สรงน้ำอนุสาวรีย์พญามังรายมหาราช พร้อมสระเกล้าดำหัวผู้ว่าฯ เชียงราย

 
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67  ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง อ.เมืองเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ, นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ , นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ และว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมพิธีถวายน้ำสงกรานต์พระเถรานุเถระ เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ( ปี๋ใหม่เมือง ) ประจำปี 2567 โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ และทุกภาคส่วน ร่วมพิธีจำนวนมาก
 
 
ต่อจากนั้น ที่ลานอนุเสาวรีย์พญามังรายมหาราช นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำข้าราชการ ประชาชน ชาวจังหวัดเชียงราย ร่วมพิธีสรงน้ำอนุสาวรีย์พญามังรายมหาราช เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง ประจำปี 2567 
 
 
โดยจังหวัดเชียงรายได้จัดขบวนอัญเชิญเครื่องถวายสักการะสรงน้ำพระราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช จากทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ตลอดจนส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ได้ร่วมจัดขบวนเครื่องสักการะ สืบสานประเพณีปี๋ใหม่เมือง โดยเคลื่อนขบวนจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ 2 เชียงราย ผ่านมาตามถนนสิงหไคล ไปยังหน้าพระราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ห้าแยกพ่อขุน ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย เพื่อประกอบพิธีสรงน้ำพระราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช
 
 
โดยในพิธี นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกล่าวคำสูมาคารวะต่อพระราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ก่อนจะถวายเครื่องสักการะ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัด อำเภอ คหบดี กลุ่มพลังมวลชน และประชาชนทั่วไปร่วมถวายเครื่องสักการะฯ ตามลำดับอนุสาวรีย์พญามังราย มหาราช สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติน้อมรำลึกถึงพระเกียรติคุณของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พญามังราย ผู้ที่ทรงรวบรวมบ้านเล็กเมืองให้เป็นปึกแผ่น จนเกิดเป็นอาณาจักรล้านนาไทยที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน
 
 
จากนั้นเวลา 15.30 น. ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานราชการ นายอำเภอ คหบดี พ่อค้า ประชาชน กลุ่มพลังมวลชน ร่วมพิธี กล่าวคำสูมาคารวะต่อ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ (ปี๋ใหม่เมือง) ประจำปี 2567 อย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวให้พรเพื่อเป็นเป็นสิริมงคล เนื่องด้วยพิธีการดำหัวเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที เพื่อขอโทษขออภัยที่เคยล่วงเกินผู้ใหญ่ทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ต่อหน้าหรือลับหลัง รวมถึงเป็นการขอพรจากผู้อาวุโสเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองอีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

7 วันอันตราย เชียงรายครองแชมป์ อุบัติเหตุ-เสียชีวิตสูงสุด ช่วงสงกรานต์ ปี 67

 
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67 ที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 18 เมษายน 2567 เกิดอุบัติเหตุ 224 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 224 คน ผู้เสียชีวิต 28 ราย
 

ส่วน ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.82 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 82.14 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 42.41 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 29.46

ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 17.01 – 18.00 น. ร้อยละ 8.04 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 17.06 จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,762 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,371 คน

โดย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ แพร่ (จังหวัดละ 11 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ แพร่ (12 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (3 ราย) สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (11 – 17 เม.ย. 67) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,044 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 2,060 คน ผู้เสียชีวิต รวม 287 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 7 จังหวัด ได้แก่ นครนายก บึงกาฬ พังงา แม่ฮ่องสอน สตูล สมุทรสงคราม หนองคาย

 

ส่วน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (82 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ แพร่ (80 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (17 ราย)

สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (11 – 17 เม.ย. 67)

  • อุบัติเหตุรวม 2,044 ครั้ง
  • ผู้บาดเจ็บรวม 2,060 คน
  • ผู้เสียชีวิต รวม 287 ราย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุและผู้บาดเจ็บลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่จำนวนของผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนยังคงเกิดจากการขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ และตัดหน้ากระชั้นชิด รวมถึงจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดเกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ซึ่งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดบูรณาการขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยได้มอบหมายให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่วิเคราะห์ข้อมูลและถอดบทเรียนการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนในเชิงลึก โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงอุบัติเหตุสูง พร้อมทั้งประเมินผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุตามมาตรการที่กำหนด โดยเฉพาะมาตรการที่เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ทำให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนนลดลง เพื่อให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนดำเนินการรวบรวมและเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะได้นำมากำหนดเป็นแนวทางในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศในระยะยาวต่อไป

 

“แม้จะสิ้นสุดการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 แล้ว ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะได้ประสานจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอ เขต (กทม.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคประชาชน จิตอาสา และอาสาสมัครในพื้นที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านคน ยานพาหนะ ถนน และสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการแนะนำ ตักเตือน ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงหลัก อาทิ ขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ ตัดหน้ากระชั้นชิด และการไม่สวมหมวกนิรภัย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเด็กและเยาวชนในประเด็นการลดปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าว

 

นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้ประสานจังหวัดตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในเชิงลึก พร้อมถอดบทเรียนการทำงานของทุกภาคส่วน ซึ่งจะได้นำปัจจัยแห่งความสำเร็จมาเป็นต้นแบบให้แต่ละพื้นที่นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบททางสังคม เพื่อเสริมสร้างกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ให้เป็นระบบและเข้มแข็ง รวมถึงนำปัญหาอุปสรรคที่เป็นจุดอ่อนในการทำงานมาปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายภาพรวมของประเทศในการลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศให้เหลือ 12 คน ต่อประชากรหนึ่งแสนภายในปี พ.ศ. 2570

 

นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เปิดเผยว่า หลังจากนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายยังต้องร่วมกันขับเคลื่อนการสร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเดินทางอย่างปลอดภัยไร้อุบัติเหตุตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนต้องขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน เครือข่ายอาสาสมัคร กลุ่มจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 ด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน และเข้มแข็ง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ร่วมอนุรักษ์และสืบสานประเพณี กระตุ้นการท่องเที่ยวเชียงแสน

 

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2567 เวลา 16.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีสงกรานต์เมืองเชียงแสน ประจำปี 2567 ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน โดยมีนายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสนนายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายนายสุวิน เครื่องสีมา สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 1 อำเภอเชียงแสนนายพลภพ มานะมนตรีกุล นายกเทศมนตรีตำบลเวียง เจ้าเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว คณะเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ในพื้นที่อำเภอเชียงแสนร่วมด้วย

 
ประเพณีสงกรานต์ของชาวเชียงแสน เป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติ สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน และถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย ที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกถึง ความกตัญญูกตเวที ต่อบรรพบุรุษ และญาติผู้ใหญ่ ผู้ที่เคารพนับถือ และคงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของไทย มีงานรื่นเริง มีการละเล่น และการแสดง ที่แสดงถึงความสามัคคี ความสนุกสนาน และความอบอุ่น ให้แก่ผู้มาร่วมงานและนักท่องเที่ยว ทั้งคนไทย สปป.ลาว จีน และเมียนมา
 
 
 ซึ่งในปีนี้อำเภอเชียงแสนได้จัดกิจกรรมที่สำคัญคือ การสรงน้ำพระศักดิ์สิทธิ์เมืองเชียงแสน การแข่งขันเรือพายชิงจ้าวลำน้ำโขงประเภท 22 ฝีพายการประกวดเทพีสงกรานต์ การประกวดเทพบุตรสงกรานต์ การประกวดขบวนแห่นางสงกรานต์ การจัดกิจกรรมงานกาชาดการละเล่นรำวงย้อนยุคการแสดงศิลปวัฒนธรรม และการจัดขบวนกลองหลวง 12 ราศี เป็นต้น อันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของอำเภอเชียงแสนให้กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง และยังเป็นการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ให้กับอำเภอเชียงแสนอีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

AIS เผย จ.เชียงใหม่ ใช้มือถือสูงสุด อันดับ 5 ช่วงสงกรานต์ ปี 2567

 

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2567 โดยจากการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน 2567 พบข้อมูลที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น อาทิ

Top 10 จุดเล่นน้ำใช้อินเทอร์เน็ตฉ่ำที่สุด คือ 1. ถนนข้าวหลาม ชลบุรี 2. ป่าตอง ภูเก็ต 3. ถนนข้าวเหนียว ขอนแก่น 4. ประตูชุมพล นครราชสีมา 5. ถนนข้าวสุก อ่างทอง 6. ไอคอนสยาม กรุงเทพ 7. สยามสแควร์ กรุงเทพ 8. RCA กรุงเทพ 9. ถนนข้าวดอกข่า พังงา 10. ถนนข้าวสาร กรุงเทพ

 

 

ส่วนจังหวัดที่มีการใช้งานมือถือสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ และเชียงใหม่ โดยจังหวัดที่มีการใช้งานเน็ตบ้านสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี, ชลบุรี, ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการใช้งานสูงขึ้นจากปีก่อน กว่า 15.78% แสดงให้เห็นว่ายังมีลูกค้าที่ใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวทำกิจกรรมร่วมกันภายในบ้านกับครอบครัว

 

ขณะที่จุดท่องเที่ยววันหยุดยาวที่มีการใช้งาน AIS Super Wifi สูงสุด คือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้านถนนสายหลักยอดฮิตในการเดินทางที่ใช้งานสูงสุด ได้แก่ ถนนเพชรเกษม, ถนนพหลโยธิน, ถนนสุขุมวิท และถนนมิตรภาพ ตามลำดับ ส่วนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ถูกใช้งานสูงสุดผ่านมือถือ ได้แก่คือ Facebook, TikTok และ YouTube ตามลำดับ และบนเน็ตบ้าน ได้แก่ Facebook, TikTok และ YouTube เช่นกัน

 

สำหรับคอนเทนต์ที่ถูกรับชมมากที่สุดบน AIS PLAYBOX คือ หนังและซีรีย์ 24% รายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว 10% โดยพบว่ารายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวถูกใช้เวลาในการรับชมนานกว่าหนังและซีรีย์ถึง 2 เท่า แสดงถึงพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มครอบครัวที่ใช้เวลาร่วมกันในช่วงวันหยุดยาว

 

ขณะที่อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย (Inbound Roamer) เติบโตถึง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และอัตราการเติบโตของการแลกสิทธิเศษในช่วงสงกรานต์ เพิ่มขึ้น 15-30% ต่อวัน โดย Top 3 อันดับ สิทธิพิเศษที่ลูกค้าใช้คะแนน AIS 1 Points แลกมากที่สุด อันดับ 1 คูปองส่วนลดบิ๊กซี มูลค่า 100 บาท อันดับ 2 อุ่นใจซองกันน้ำ และอันดับ 3 แลกรับโค้ดชม WeTV VIP

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AIS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

นครชัยแอร์เปิดสาขาสีดา โคราช ไปกรุงเทพฯ-เชียงราย-เชียงใหม่

 
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2567 รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด ผู้ประกอบการเดินรถโดยสารประจำทางเส้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เตรียมเปิดให้บริการสาขาสีดาในวันอาทิตย์ที่ 21 เม.ย. 2567 บริเวณอาคารพาณิชย์ ติดกับสินเชื่อศุภมิตร ลิสซิ่ง (พิโก) ถนนมิตรภาพ กิโลเมตรที่ 233 ใกล้กับแยกสีดา ต.สามเมือง อ.สีดา จ.นครราชสีมา ห่างจากจังหวัดนครราชสีมาประมาณ 86 กิโลเมตร เปิดทำการเวลา 07.30-23.00 น.

สามารถเดินทางไปยังกรุงเทพฯ ซึ่งมีรถผ่านให้บริการทั้งรถโดยสารประเภท First Class และชั้น Gold Class รวมวันละ 12 เที่ยว และจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย วันละ 1 เที่ยว จังหวัดเชียงใหม่ วันละ 2 เที่ยว (ผ่านจังหวัดชัยภูมิ จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน) ส่วนจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปจังหวัดขอนแก่น วันละ 10 เที่ยว และไปจังหวัดอุบลราชธานี วันละ 3 เที่ยว (ผ่านจังหวัดศรีสะเกษ) โดยสามารถจองตั๋วผ่านไลน์ @ncasida แล้วรอขึ้นรถก่อนรถออก 30 นาที

สำหรับนครชัยแอร์ สาขาสีดา นับเป็นสาขาแห่งที่ 2 ในจังหวัดนครราชสีมา ต่อจากสาขานครราชสีมา ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารนครราชสีมาแห่งที่ 2 (บขส.ใหม่) ซึ่งสี่แยกสีดาเป็นจุดตัดของถนนมิตรภาพ กับถนนนิเวศรัตน์ (ถนนบัวใหญ่-สีดา และถนนสีดา-ประทาย) มีเส้นทางเดินรถหมวด 3 ผ่าน ได้แก่ สายอุบลราชธานี-เชียงราย และสายอุบลราชธานี-เชียงใหม่ โดยก่อนหน้านี้นครชัยแอร์ได้เชิญชวนผู้ประกอบการท้องถิ่นใน อ.สีดา เป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วและส่งพัสดุด่วนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ นครชัยแอร์ได้เริ่มให้บริการผู้โดยสารไปยังจังหวัดนครราชสีมามาตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ค่าโดยสาร 271 บาท เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้โดยสาร โดยสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ 120 วัน ผ่าน Call Center 1624 เฟซบุ๊ก ไลน์ และเคาน์เตอร์นครชัยแอร์ (ยกเว้นเว็บไซต์) เริ่มจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมา วันละ 4 เที่ยว และนครราชสีมา-กรุงเทพฯ วันละ 1 เที่ยว เมื่อกระแสตอบรับดีจึงได้เพิ่มเที่ยวรถ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา วันละ 9 เที่ยว และนครราชสีมา-กรุงเทพฯ วันละ 7 เที่ยว

นอกจากนี้ มีรถผ่านไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น จังหวัดบุรีรัมย์ วันละ 7 เที่ยว จังหวัดนครพนม วันละ 1 เที่ยว จังหวัดขอนแก่น วันละ 9 เที่ยว จังหวัดสกลนคร วันละ 2 เที่ยว อำเภอศรีสงคราม วันละ 1 เที่ยว จังหวัดอุดรธานี วันละ 2 เที่ยว จังหวัดกาฬสินธุ์ วันละ 3 เที่ยว จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี วันละ 4 เที่ยว อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่ามีที่นั่งจากกรุงเทพฯ หรือจังหวัดดังกล่าวว่างหรือไม่ จึงจะสามารถสำรองที่นั่งและใช้บริการได้
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News