Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ชวนเปลี่ยนวิธีคิด! หยุดรอป่วยแล้วรักษา ทำไมงบสุขภาพ 2.3 แสนล้านยังไม่พอ

รพ.กรุงเทพเชียงราย เผยกลยุทธ์ BDMS สู่ Strong Life Smart Health เพื่อชีวิตยืนยาว

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – ภายในห้องประชุมยูโทเปีย 1 ชั้น 3 โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท ช่วงเช้าวันอังคาร บรรยากาศเต็มไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ผู้นำองค์กร และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ระยะเวลาระหว่าง 08.00–12.00 น. ถูกใช้ไปกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางการแพทย์ ในงานประชุมวิชาการ
สุดยอดสัมมนาสัญจร BDMS ครั้งที่ 6 Strong Life Smart Health – สุขภาพแข็งแรงด้วยการดูแลอย่างเข้าใจ”

งานสัมมนาครั้งนี้จัดโดย โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ร่วมกับ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ และ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้เครือข่าย บีดีเอ็มเอส (BDMS) โดยมีเป้าหมายสำคัญในการ “ย้ำและขยาย” แนวคิดด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันต่อคนเชียงรายและภาคธุรกิจในพื้นที่

เปลี่ยนจาก “รอป่วยแล้วรักษา” สู่ “ไม่ป่วยให้นานที่สุด”

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย กล่าวถึง “ภาพใหญ่” ของระบบสุขภาพไทยในปัจจุบัน พร้อมชี้ให้เห็นว่า สุขภาพไม่ใช่เพียงประเด็นส่วนบุคคล แต่เกี่ยวพันโดยตรงกับทั้งเศรษฐกิจและสังคม

เขาระบุว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ราว 230,000 ล้านบาทต่อปี และ “ตัวเลขนี้ยังไม่เพียงพอ” เมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ขณะเดียวกันงบประมาณด้าน “การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค” กลับมีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% ของงบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเท่านั้น

“เราลงทุนไปมากกับการรักษา เมื่อคนเจ็บป่วยแล้ว แต่กลับใช้งบด้านการส่งเสริมสุขภาพเพียงส่วนเล็ก ๆ ถ้าปล่อยให้แนวโน้มงบประมาณด้านรักษาพุ่งขึ้นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตระบบกองทุนสุขภาพของประเทศไทยอาจเผชิญความเสี่ยงได้” – นพ.ธนรัชต์กล่าว

มิติทางสังคมก็เป็นอีกด้านที่สะท้อนความท้าทายอย่างชัดเจน แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะช่วยให้คนไทยมีอายุยืนขึ้น แต่อายุที่ “มีสุขภาพแข็งแรงจริง” กลับไม่ได้เพิ่มตามไปด้วยทั้งหมด

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ย้ำว่า “วันนี้คนไทยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 74 ปี แต่ ‘อายุสุขภาพดี’ หรือ Health Span เฉลี่ยเพียง 64 ปี นั่นหมายความว่า อีกประมาณ 10 ปีสุดท้ายของชีวิต คนจำนวนมากต้องอยู่กับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยเรื้อรัง เราอยากเห็นสังคมที่คนมีทั้งอายุยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปพร้อมกัน” 

กลยุทธ์ BDMS เทคโนโลยีระดับโมเลกุล–ยีน เพื่อรู้ความเสี่ยงก่อนป่วย

ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนภายใต้เครือ BDMS นพ.ธนรัชต์ อธิบายว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่จากทั่วโลกมาปรับใช้กับคนไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาเมื่อป่วย แต่เพื่อ ตรวจเจอความเสี่ยงตั้งแต่ก่อนเกิดโรค”

เทคโนโลยีดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์ในระดับโมเลกุลและระดับยีน (Gene Level) การค้นหาความเสี่ยงเชิงลึกของโรคต่าง ๆ ไปจนถึงการออกแบบโปรแกรมตรวจสุขภาพและการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

“เมื่อเรารู้ได้ตั้งแต่ต้นว่า แต่ละคนมีปัจจัยเสี่ยงด้านใด เราก็สามารถวางแผนป้องกันได้อย่างเหมาะสม ทั้งในเชิงการปรับพฤติกรรม การตรวจติดตาม และหากจำเป็น ก็ใช้เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยที่สุดเมื่อเกิดการเจ็บป่วย เพื่อให้คนไข้ได้คุณภาพชีวิตกลับคืนมาเร็วที่สุด”

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ได้เปรียบเปรยร่างกายมนุษย์ว่าเป็น “ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด” พร้อมฝากข้อคิดที่เข้าใจง่ายแต่ทรงพลัง

“ลองนึกว่าร่างกายของเราเป็น ซูเปอร์คาร์คันเดียวในชีวิต ถ้าเราอยากให้ซูเปอร์คาร์คันนี้วิ่งได้ไกล ไปได้นาน และยังดูดีเสมอ เราก็ต้องดูแล บำรุง และตรวจเช็กตั้งแต่ก่อนจะมีปัญหา ไม่ใช่รอจนเครื่องพังแล้วค่อยเข้าศูนย์ ร่างกายก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราคิดแบบนี้ เราจะเริ่มหันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น”

แพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย

“Stroke” ภัยเงียบที่มองไม่เห็น แต่ทำลายชีวิตได้ในพริบตา

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นของแนวคิด “ป้องกันก่อนเจ็บป่วย” งานสัมมนาได้นำกรณีของ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มาขยายความในเชิงลึก โดยมี แพทย์หญิงสุภลักษณ์ โทมณีสิริ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ร่วมให้ข้อมูล

ได้อธิบายว่า ภาวะหลอดเลือดสมองมีทั้งแบบ ตีบ และ แตก และมักถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” เพราะความเปลี่ยนแปลงในหลอดเลือดเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จากไขมันที่เกาะสะสม หรือจากโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

“หลายคนไม่รู้เลยว่าหลอดเลือดสมองของตัวเองมีปัญหามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดภาวะอุดตันหรือเส้นเลือดแตก กลายเป็นอาการเฉียบพลันขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนชัดเจน”

เพื่อให้ประชาชนจดจำสัญญาณอันตรายได้ง่าย แพทย์หญิงสุภลักษณ์ย้ำกรอบคิด B-E F.A.S.T. ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยจำที่สำคัญในการเฝ้าระวังอาการ Stroke ได้แก่

  • B – Balance : เวียนหัว ทรงตัวไม่มั่นคง
  • E – Eyes : การมองเห็นผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว หรือเห็นภาพซ้อน
  • F – Face : ใบหน้าเบี้ยว มุมปากตกทันทีทันใด
  • A – Arm : แขนข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
  • S – Speech : พูดไม่ชัด พูดติดขัด หรือพูดไม่รู้เรื่อง
  • T – Time : เวลามีค่า ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ ห้ามรอดูอาการเองที่บ้าน เมื่อมีอาการเข้าเกณฑ์ B-E F.A.S.T. ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ภายในเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง จะเป็นช่วงทองของการรักษา หรือโทร 1669 เพื่อขอรถพยาบาลมารับ อย่ารอจนสายเกินไป”

ป้องกันดีกว่ารักษา คุม 4 ปัจจัยเสี่ยงใหญ่ ลดโอกาสเกิด Stroke

ในช่วงต่อมา แพทย์หญิงสุภลักษณ์ได้พูดถึง  “หัวใจของการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง” โดยเน้นว่า การรักษาแม้จะสำคัญ แต่ท้ายที่สุด การป้องกันไม่ให้เกิดโรคแต่แรก เป็นหนทางที่ดีที่สุด ทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และระบบสุขภาพโดยรวม

เสนอให้ประชาชน โดยเฉพาะคนวัยทำงาน หันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพประจำปี และควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลักอย่างเคร่งครัด โดยเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. ไขมันในเลือดสูง
    • ควรตรวจระดับ LDL Cholesterol อย่างสม่ำเสมอ
    • จำกัดอาหารไขมันสูง
    • หากแพทย์เห็นสมควรให้ใช้ยาลดไขมัน เช่น ยากลุ่ม Statins ควรรับประทานตามคำสั่ง
    • เธอเน้นว่า หลายกรณีเกิดจากพันธุกรรม แม้ควบคุมอาหารดีแล้วแต่ไขมันยังสูงอยู่ การใช้ยาจึงมีความจำเป็น และ “ประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง”
  2. เบาหวานและภาวะเสี่ยงเบาหวาน
    • ควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเครื่องดื่มหวาน
    • หากค่า HbA1c เกิน 5.8% ถือว่าเริ่มมีภาวะเสี่ยง ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
    • ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมค่า HbA1c ให้ต่ำกว่า 6.5% ตามคำแนะนำแพทย์
  3. ความดันโลหิตสูง
    • ตรวจวัดความดันอย่างสม่ำเสมอ
    • ปรับพฤติกรรม ลดเค็ม ออกกำลังกาย และรับประทานยาตามคำแนะนำ
    • การควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกอย่างมีนัยสำคัญ
  4. ความเครียดและโรคหัวใจ
    • คนวัยทำงานจำนวนมากเผชิญความเครียดสะสม การออกกำลังกายจึงเป็น “ทางออกที่ดีที่สุด” เพราะช่วยทั้งลดความเครียดและลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดและ Stroke ได้ จึงต้องติดตามกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

“การป้องกันไม่ใช่เรื่องไกลตัว เริ่มจากการตรวจสุขภาพประจำปี รู้ตัวเลขของตัวเอง แล้วร่วมมือกับแพทย์ในการควบคุมปัจจัยเสี่ยง หากดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ โอกาสเกิด Stroke และโรคเรื้อรังอื่น ๆ จะลดลงมาก”

ฟื้นฟูหลัง Stroke เทคโนโลยีใหม่–กายภาพบำบัด–กำลังใจจากครอบครัว

แม้การป้องกันจะสำคัญที่สุด แต่อีกด้านหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “การฟื้นฟูผู้ป่วยหลังเกิด Stroke แล้ว” แพทย์หญิงสุภลักษณ์อธิบายว่า แนวคิดใหม่ในการดูแลผู้ป่วย Stroke คือการผสมผสาน การรักษาเฉียบพลัน, การฟื้นฟูทางกายภาพ, และ การดูแลด้านจิตใจและครอบครัว เข้าด้วยกัน

ในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยบางส่วนอาจได้รับยาละลายลิ่มเลือด และต้องเข้ารับการดูแลในหอผู้ป่วยเฉพาะ เช่น Stroke Unit หรือไอซียู เพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ขนานไปกับการเริ่มต้นกายภาพบำบัดอย่างเหมาะสมตั้งแต่ช่วงแรก

“ช่วงเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีแรก ถือเป็น ‘โอกาสทอง’ ของการฟื้นฟูทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หากมีการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องและเพียงพอ โอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติจะสูงขึ้นมาก”

ในด้านนวัตกรรมการฟื้นฟู เธอกล่าวถึงเทคโนโลยีอย่าง Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กช่วยกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของสมองบางส่วน ควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัด โดยมองเป็น “ทางเลือกเสริม” ที่ช่วยต่อยอดประสิทธิภาพการฟื้นฟูในผู้ป่วยบางราย นอกจากนี้ยังมีการใช้ “หุ่นยนต์ช่วยฝึกเดิน” เพื่อช่วยให้การฝึกเดินของผู้ป่วยมีความปลอดภัยและเป็นระบบมากขึ้น

อย่างไรก็ดี แพทย์หญิงสุภลักษณ์ โทมณีสิริ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงรายย้ำว่า ถึงเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด หากขาด “กำลังใจจากครอบครัว” และการดูแลแบบองค์รวม ผลลัพธ์การฟื้นฟูอาจไม่เต็มศักยภาพ

“หลายคนเคยเดินได้ ทำงานได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งหมด แต่หลังจากเกิด Stroke แล้วกลายเป็นคนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ความรู้สึกท้อแท้ วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก ญาติและครอบครัวจึงต้องเข้าใจ ให้กำลังใจ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมดูแลผู้ป่วย”

และได้กล่าวเสริมว่า ในหลายครัวเรือน ผู้ดูแลมีเพียงคนเดียว หากไม่มีการวางแผน อาจเกิดภาวะ “หมดไฟของผู้ดูแล” (Caregiver Burnout) ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลและผู้ป่วย การวางแผนจัดหาผู้ช่วยดูแล หรือแบ่งหน้าที่กันภายในครอบครัว จึงเป็นอีกมิติที่สำคัญไม่แพ้กัน

พญ.สุภลักษณ์ โทมณีสิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย และอายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท

จากห้องประชุมสู่ชีวิตจริง ความหมายของ “Strong Life Smart Health” สำหรับคนเชียงราย

งานประชุมวิชาการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การดูแลสุขภาพในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีโรงพยาบาลที่ทันสมัย แต่คือการสร้าง “วิถีคิดใหม่” ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการป้องกัน และเข้าใจบทบาทของตนเองในการดูแลร่างกาย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีทั้งเมืองใหญ่ ชุมชนเกษตรกรรม และภาคบริการท่องเที่ยว การมีเวทีที่เชื่อมโยงองค์ความรู้จากเครือ BDMS มาสู่พื้นที่ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับความตื่นตัวด้านสุขภาพของประชาชนและองค์กรในพื้นที่

คำกล่าวของ นพ.ธนรัชต์ ที่เปรียบร่างกายว่า “ซูเปอร์คาร์คันเดียวในชีวิต” ประกอบกับคำอธิบายเชิงลึกของ พญ.สุภลักษณ์ เกี่ยวกับการป้องกันและฟื้นฟู Stroke ทำให้เห็นภาพชัดว่า สุขภาพไม่ใช่เรื่องของโรงพยาบาลฝ่ายเดียว แต่เป็นสมการที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ

ในช่วงท้ายของงาน วิทยากรได้ย้ำตรงกันว่า การเปลี่ยนจาก “รักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “ป้องกันไม่ให้ป่วยนานที่สุด” ไม่เพียงช่วยลดภาระงบประมาณของประเทศ แต่ยังช่วยให้คนเชียงราย และคนไทยโดยรวม มีโอกาสใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอย่างมีศักดิ์ศรีและคุณภาพมากขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย, โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ,
    และ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้เครือ BDMS
  • นพ.ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
  • แพทย์หญิงสุภลักษณ์ โทมณีสิริ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท
    โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME