Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย อนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น เปิดงานประเพณีโล้ชิงช้า ครั้งที่ 11

 
วันที่ 7 กันยายน 2566 เวลา 09.00 น. นายกฤศ โพธสุธน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีโล้ชิงช้า ครั้งที่ 11 โดยมีว่าที่ ร.ต.เมธี กาบุญค้ำ ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 คณะผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู ผู้นำชุมชน ประชาชนในพื้นที่และผู้สนับสนุนโครงการ เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ณ โรงเรียนดอยแสนใจ (ตชด.อนุสรณ์) ตำรวจตระเวนชายแดนอนุสรณ์
 
สำหรับโครงการโรงเรียนวิถีชีวิตชาติพันธุ์อาข่า เป็นจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง ที่เป็นผลให้เด็กและเยาวชนมีความรักและหวงแหนวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามและอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่บรรพบุรุษได้มีไว้ให้เป็นมรดกไม่ให้สูญหายไป การสร้างความร่วมมือร่วมกันระหว่างโรงเรียนและชุมชนในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าและเผยแพร่ให้กับผู้สนใจ นอกจากนี้การเรียนรู้วิถีชีวิตชาติพันธุ์อาข่าจะเป็นการปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรู้จักบทบาทหน้าที่
 
ของตนเอง และการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมได้อย่างปกติสุขมีความรู้สึกรักและภาคภูมิใจในชนเผ่าของตนตลอดจนพยายามเผยแพร่วัฒนธรรมที่ดีงามและภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาติพันธุ์ของตนเองให้สาธารณชนได้รับรู้สืบไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ร่วมเปิดงานสืบชะตา ค้ำไม้ศรีมหาโพธิ์

 
วันที่ 7 กันยายน 2566 เวลา 09.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมพิธีเปิดงานสืบชะตาค้ำไม้ศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธสถานพระเจ้ากือนา โดยการนำของ นายสันติ์ ศรียา นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเหนือ ร่วมกับสภาวัฒนธรรมตำบลเวียงเหนือ และชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มองค์กรภาคประชาชนตำบลเวียงเหนือ ได้จัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อป้องกันองค์หลวงพ่อใหญ่กือนาทรุดตัวลง และเป็นสัญลักษณ์ของการค้ำชูพระพุทธศาสนาสืบต่อไป
.
พุทธสถานพระเจ้ากือนา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกก หมู่ที่ 8 ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย เป็นปูชนียสถานที่สำคัญของอำเภอเวียงชัย มีหลวงพ่อใหญ่พระเจ้ากือนาเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป ที่สำคัญพุทธสถานแห่งนี้ปรากฏในคำขวัญของอำเภอเวียงชัยที่ว่า พระเจ้ากือนาลือไกล
 
โดย อบจ.เชียงราย พร้อมเป็นหน่วยงานที่จะสนับสนุนการบูรณะพัฒนาให้เป็นสถานที่พักผ่อนท่องเที่ยว และเป็นสถานที่ทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวสืบไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เปิดแล้วเซเว่น อีเลฟเว่น สปป.ลาว สาขาแรกอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์

 

ท่านบุญเถิง ดวงสะหวัน รองรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม และการค้า แห่ง สปป.ลาว นางสาวมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ ให้เกียรติเป็นประธานตัดริบบิ้นในพิธีเปิดให้บริการร้านเซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในสปป. ลาว อย่างเป็นทางการ ร่วมกับนายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ Managing Director International Business บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

          โดย เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกนี้ ตั้งอยู่ที่ถนนสุพานุวง บ้านหนองปาใน เมืองสีโคดตะบอง ในนครหลวงเวียงจันทน์ บริหารโดย บริษัท ซีพี ออลล์ ลาว จำกัด ในกลุ่มซีพี ออลล์  ซึ่งจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง นำเสนอสินค้ากว่า 5,000 SKUs เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม มุ่งเน้นคุณภาพมาตรฐาน ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารพร้อมทาน รวมถึงสินค้าเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น อาทิ สินค้ายอดนิยมตลอดกาลในอย่าง Slurpee หรือเครื่องดื่มชงสด All Café นอกจากนี้ ยังมีสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคภายในประเทศ และผู้ที่มาเยือน สปป. ลาว ซึ่งเพิ่มขึ้นตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และการเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงทำให้การคมนาคมขนส่งสะดวกสบายรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปี 2567 นี้ รัฐบาล สปป. ลาวกำหนดให้เป็นปีท่องเที่ยวลาว ซึ่งจะตรงกับวาระที่สปป.ลาว จะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ก็จะทำให้บรรยากาศภายในประเทศคึกคักมากยิ่งขึ้นด้วย     

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ออลล์ ลาว จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย จัดประชุมวิชาการสมาคม สาธารณสุขแห่งประเทศไทย ปี 66

 
วันนี้ (7 กันยายน 2566) ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายประพันธ์ ใยบุญมี ประธานชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจากทั่วประเทศ สมาคมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย และชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เลือกจังหวัดเชียงราย ในการจัดโครงการประชุมวิชาการสมาคมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ประจำปี2566 “ก้าวสู่ระบบสุขภาพปฐมภูมิที่มีคุณภาพ ภายใต้รูปแบบใหม่ระบบสุขภาพระดับอำเภอ” ระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2566 โดยมี นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายแพทย์สาธารสุขจังหวัดเชียงราย ผอ.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมนำเยี่ยมชมบูธนิทรรศการแสดงผลงานเด่น ผลงานวิชาการ งานวิจัย ต่างๆ ของสาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ ที่ได้นำมาจัดแสดงภายในงานในครั้งนี้ด้วย
 
โอกาสนี้ นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าว่า จังหวัดเชียงราย ได้มีแผนพัฒนาขับเคลื่อนเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ หรือ “Chiang Rai Wellness City” ทั้งนี้จังหวัดเชียงรายมีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ การค้าชายแดน ศิลปวัฒนธรรม การคมนาคม และพื้นที่ด้านภูมิศาสตร์ของเชียงราย เมื่อการดำเนินการขยายวงกว้างออกไป ทั้งผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป ซึ่งจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายมากขึ้น เพราะมีเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพเป็นจุดขาย สิ่งสำคัญอีกประการคือเส้นทางคมนาคมหลายด้านกำลังมุ่งสู่ จังหวัดเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟสาย เด่นชัย – เชียงของ ในปี 2571 และยังมีถนนมอเตอร์เวย์คู่ขนานกับถนนอาร์สามเอเชื่อมเชียงราย – สปป.ลาว – จีน ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568 
 
ซึ่งจะทำให้การเดินทางจากไทย – จีน บนมอเตอร์เวย์นี้ใช้ระยะเวลาเพียงประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นการเตรียมการรองรับเพื่อเป็น Wellness City ของจังหวัดเชียงราย และอีกหนึ่งความพร้อมของจังหวัดเชียงรายคือ มหกรรมเปิดโลกศิลปะนานาชาติ ไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงราย 2023 โดยมีศิลปินร่วมแสดงผลงาน รวม 60 ท่าน ทั้งไทยและนานาชาติ ร่วมแสดงผลงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 ภายใต้แนวคิด “เปิดโลก open world” โดยกำหนดจัดขึ้นใน
เดือน ธันวาคม 2566 ยาวข้ามปีไปถึงเดือนเมษายน 2567 ตลอด 5 เดือน ขอเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมเยือนจังหวัดอีกในโอกาสต่อไป
 
ด้าน นายประพันธ์ ใยบุญมี ประธานชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย กล่าวอีกว่า การประชุมวิชาการครั้งนี้ เป็นเวทีวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข สู่ระบบสุขภาพปฐมภูมิ ตามพระราชบัญญัติสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ 2562 ให้มีคุณภาพภายใต้รูปแบบใหม่ในระดับอำเภอ ร่วมกำหนดรูปแบบการดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงสาธารณสุข และ พร้อมทั้งการเชิดชูเกียรติบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และยุทธศาสตร์ 20 ปี พร้อมทั้งการเชิดชูเกียรติบุคคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลเสริมส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี ที่มีผลงานวิชาการหรือผลงานดีเด่นทุกระดับ พร้อมมอบโล่รางวัลผลการประเมินคัดเลือกสำนักงานสาธารณสุขอำเภออดีเด่น ระดับเขต ระดับภาค ระดับประเทศ และการมอบโล่เชิดชูเกียรติบุคลากรที่มีผลงานดีเด่นระดับประเทศ ประจำปี 2566 อีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมกะเหรี่ยง “ต่าลือต่าหล่า ปว่าเก่อญอ”

 
เมื่อวันที่ (6 กันยายน 66) นางพัชรนันท์ แก้วจินดา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมกันเปิดกิจกรรม “ต่าลือต่าหล่า ปว่าเก่อญอ” มรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมกะเหรี่ยง จังหวัดเชียงราย ภายใต้โครงการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ประจำปี พ.ศ. 2566 ณ ภายในสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 
 
โดยมี นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ส่วนราชการ ผู้นำและพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์กระเหรี่ยง จากอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย อำเภอเวียงป่าเป้า อำเภอแม่สรวย และอำเภอดอยหลวง เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเป็นการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ในด้านอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การสืบทอด ถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนในพื้นที่หรือนำความต้องการเร่งด่วนในพื้นที่เป็นหลักในการทำงาน สืบทอดภูมิปัญญาด้านพิธีกรรม / ความเชื่อด้านวิถีวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยง ที่ทำให้ป่าไม้ ธรรมชาติ อุดมสมบูรณ์ ไม่มีการทำลาย ไปสู่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป และส่งเสริมให้เยาวชน ประชาชนชาวกะเหรี่ยง ได้เห็นคุณค่าและภูมิใจในวัฒนธรรมอันดีงามของตนเอง โดยการจัดกิจกรรมในการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างเหมาะสม
 
สำหรับการจัดกิจรรมครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าฟ้าหลวง และนายกสมาคมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวชาติพันธุ์จังหวัดเชียงราย โดยภายงานจัดให้มีบูธ ดิสเพลของชุมชน และการสาธิตของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง การจัดนิทรรศการเผยแพร่ผลงานและองค์ความรู้ ประกอบด้วย นิทรรศการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม การจัดนิทรรศการผลงานวิชาการประชาสัมพันธ์ 
 
โดย นายปรัชญาณินทร์ วงศ์อทิติกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ประธานแขนงวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย การจัดนิทรรศการเศรษฐกิจสร้างสรรค์กลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงจังหวัดเชียงราย โดยรองศาสตราจารย์ ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง การเสนาส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง จังหวัดเชียงราย และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ราชกิจจานุเบกษา ขึ้นเงินเดือน กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-หมอตำบล

 
วันที่ 7 ก.ย.2566 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนตำแหน่ง และเงินอื่น ๆ ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2566 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศฉบับดังกล่าวระบุว่า 
 
โดยที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2566 ได้มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ค่าครองชีพและทัดเทียมกับค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่รัฐอื่น ๆ รวมทั้งสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เดียวกันด้วย
 

อาศัยอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กระทรวงมหาดไทย ด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง จึงวางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1.ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนตำแหน่งและเงินอื่น ๆ ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครองและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2566”

 

ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นไป

ข้อ 3 ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครองและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับได้รับเงินตอบแทนตำแหน่งเพิ่มไปรวมกับอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งที่รับอยู่ในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับของแต่ละตำแหน่ง เป็นอัตราเงินตอบแทนตำแหน่งใหม่ ดังนี้

  1. กำนัน ให้ได้รับเพิ่มอีกคนละ 2,000 บาท
  2. ผู้ใหญ่บ้าน ให้ได้รับเพิ่มอีกคนละ 2,000 บาท
  3. แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ ให้ได้รับเพิ่มอีกคนละ 1,000 บาท

ทั้งนี้ อัตราเงินตอบแทนตำแหน่งใหม่แต่ละคนตามวรรคหนึ่งจะต้องไม่เกินอัตราขั้นสูงของแต่ละตำแหน่งตามบัญชีเงินตอบแทนขั้นต่ำขั้นสูงท้ายระเบียบนี้ตามข้อ 4 วรรคหนึ่ง ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนตำแหน่ง และเงินอื่น ๆ ให้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านแพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบนี้และให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ ให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตาม วันพุธที่ 6 กันยายน 2566

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม. ดึงเครือข่าย หนุนสร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย

 

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา เวลา 13.30 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิดหลัก “สานพลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว : สร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย” โดยมี นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวรายงาน ซึ่งมีวัตุถุประสงค์เพื่อผนึกกำลังความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านครอบครัว  ด้วยการบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายเป็นกลไกทางสังคมในทุกพื้นที่ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว และพร้อมสำหรับการขับเคลื่อนแผนขับเคลื่อนมติสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2565 ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2566 – 2568) นอกจากนี้ มีพิธีมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณองค์กรและสื่อสร้างสรรค์ที่สนับสนุนการขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว 34 รางวัล แบ่งเป็น 1) องค์กรที่สนับสนุนการขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว 12 รางวัล 2) องค์กรไร้ความรุนแรง 20 รางวัล และ 3) สื่อสร้างสรรค์ด้านครอบครัว 2 รางวัล ณ ห้องกษัตริย์ศึก โรงแรมเดอะ ทวิน ทาวเวอร์ กรุงเทพมหานคร


นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้กำหนดจัดสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2566 สืบเนื่องจากข้อเสนอการต่อยอดฉันทามติในการประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2565 ซึ่งพัฒนาไปสู่การจัดทำแผนขับเคลื่อนมติสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2565 ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2566 – 2568) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการขับเคลื่อนเชิงระบบ (ขาเคลื่อน) ที่มุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมขององค์กรทุกภาคส่วน เพื่อเป็นกรอบทิศทางให้ภาคีเครือข่ายนำไปใช้ในการบริหารจัดการส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว จนเกิดสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัวในทุกพื้นที่ และนำมาซึ่งประเด็นหลักในการจัดงานคือ “สานพลังสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว : สร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย” โดยมีประเด็นย่อย 4 ประเด็น ได้แก่ 1) มิติส่งเสริมสัมพันธภาพในครอบครัว 2) มิติสนับสนุนการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว 3) มิติพัฒนาศักยภาพกลไกด้านครอบครัว และ 4) มิติพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เอื้อต่อครอบครัว


นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า สถานการณ์โลกในปัจจุบัน รวมถึงประเทศไทย ทำให้สถาบันครอบครัวถูกท้าทาย อาทิ อัตราการหย่าร้างและเด็กอาศัยอยู่กับผู้สูงอายุเพียงลำพังเพิ่มสูงขึ้น  เป็นต้น อีกทั้งสภาพแวดล้อมอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัวเกิดวิกฤติ ซึ่งงานประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติครั้งนี้ ถือว่าเป็นวาระที่ต้องสานพลังครอบครัว เพื่อให้สถาบันครอบครัวได้รับการฟื้นฟู และสานพลังของทุกภาคีเครือข่าย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสถาบันครอบครัวยังอยู่คู่กับสังคมไทย และเข้มแข็งตลอดไป ทั้งนี้ ข้อเสนอสมัชชาฯ ที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 ในมิติต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัว จะมีการเสนอต่อรัฐบาล และภาคีเครือข่าย เพื่อนำไปขับเคลื่อนการทำพื้นที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัวให้เกิดขึ้นจริง


นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ งานประชุมสมัชชาฯ ครั้งนี้ ยังมีการเสวนา “ต่างคิด แชร์ไอเดีย สร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย” โดย 1) นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว 2) นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 3) นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว และ 4) นางสาวชลธิดา ยาโนยะ ผู้ประพันธ์ นวนิยาย “มาตาลดา” 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ก.อุตฯ ชงมาตรการใหม่ สนับสนุนเงิน ช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่เผาอ้อย

 

ปลัดฯ อุตสาหกรรม เผยห่วงประชาชนกว่า 44 ล้านคน ที่เดือดร้อนต้องสูดควันพิษ PM 2.5 จากการเผาไร่อ้อยนานกว่า 6 เดือนในทุกปี ล่าสุดเปิดมาตรการใหม่ in cash & in kind ช่วยเกษตรกรส่วนใหญ่ที่ไม่เผาอ้อย ผ่านการให้เงินช่วยเหลือรูปแบบใหม่ พร้อมสนับสนุนเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรมบริหารจัดการไร่อ้อย ย้ำทุกหน่วยงานบังคับใช้และกำกับดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นเกษตรอุตสาหกรรมที่มีกฎหมายและมีหน่วยงานกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามแผนของรัฐบาลในการจัดการกับฝุ่นพิษ PM 2.5 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง PM 2.5 โดยหนึ่งในสาเหตุหลักมีแหล่งที่มาจากฝุ่นควันของการเผาไร่อ้อย ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระทำผิดและฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว ยังเป็นการเอารัดเอาเปรียบส่วนรวม และเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เนื่องจากการเผาไร่อ้อยก่อมลพิษฝุ่น PM 2.5 ในปริมาณสูงมาก สามารถคงค้างอยู่ในบรรยากาศเป็นระยะเวลายาวนานและแผ่ขยายได้ตามทิศทางลม จึงปกคลุมหนาแน่นทั่วพื้นที่ในบริเวณที่มีประชนชนอาศัยอยู่ถึงกว่า 44 ล้านคน ทั้งในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะเวลาถึงประมาณ 6 เดือนของทุกปี ซึ่งเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงและส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพประชาชนผู้หายใจอากาศที่มีฝุ่นควันพิษ PM 2.5 ที่เกิดจากการลักลอบเผาอ้อยเหล่านี้เข้าไป

จากข้อมูลสถิติการลักลอบเผาอ้อย พบว่า ฤดูการผลิตปี 2563/2564 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผาสูงถึง 17.61 ล้านตัน จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 66.66 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 26.42 ฤดูการผลิตปี 2564/2565 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผาสูงถึง 25.12 ล้านตัน จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 92.07 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 27.28 และฤดูการผลิตปี 2565/2566 พบว่ามีอ้อยที่ถูกลักลอบเผาสูงถึง 30.78 ล้านตัน จากปริมาณอ้อยเข้าหีบ 93.89 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 32.78 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นพื้นที่ที่เกิดการลักลอบเผาประมาณ 3.08 ล้านไร่ สะท้อนให้เห็นว่า ใน 2 ฤดูการผลิตที่ผ่านมา มาตรการสนับสนุนเงินช่วยเหลือในลักษณะการให้เงินแบบเดิมในอัตรา 120 บาทต่อตันอ้อย ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 จำนวนเงินรวม 14,384.79 ล้านบาท ควบคู่กับมาตรการป้องปรามของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ยังมีประสิทธิภาพโดยรวมไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาให้อ้อยถูกเผาหมดไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ดังนั้น จึงต้องทบทวนมาตรการและกลไกการบูรณาการในการจัดการกับปัญหาการเผาไร่อ้อย ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด พร้อมกับการออกแบบมาตรการส่งเสริมรูปแบบใหม่ เพื่อให้ชาวไร่และผู้ตัดอ้อยดำเนินการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการและการเก็บเกี่ยวผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่กระทบต่อสิทธิของประชาชนกว่า 44 ล้านคน ในการเข้าถึงอากาศไร้ฝุ่นพิษจากการเผาอ้อยในช่วง 6 เดือน ของทุก ๆ ปี

“เพื่อเป็นการกำกับควบคู่ไปกับการจูงใจ สนับสนุน และส่งเสริมชาวไร่อ้อยที่ไม่กระทำผิดกฎหมาย โดยไม่เผาไร่อ้อยของตนหรือของผู้อื่น เพื่อไม่สร้างปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายรัฐบาลที่กำหนด จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินมาตรการอย่างบูรณาการ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เน้นย้ำความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบด้านการกำกับดูแลให้เกิดการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความร่วมมือให้กระทรวงมหาดไทยทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ถึงความพยายามร่วมกันของรัฐบาล ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่จะแก้ปัญหาฝุ่นพิษจากการเผาอ้อยให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการเสนอให้มีการกำหนดแนวทางการสนับสนุนส่งเสริมในรูปแบบใหม่ที่ตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพอย่างครบวงจรให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ปฏิบัติตามกฎหมาย (คือ ชาวไร่ที่มิได้ลักลอบเผาไร่อ้อยของตนเองหรือไร่อ้อยของผู้อื่นตลอดช่วงฤดูการผลิตปี 2565/2566) ให้ได้รับการสนับสนุน ทั้งในรูปแบบที่ให้เป็นตัวเงิน (in cash) แก่ชาวไร่อ้อย และในรูปแบบที่ให้เป็นระบบการบริหารจัดการไร่อ้อยและการตัดอ้อยด้วยเทคโนโลยีเกษตรอุตสาหกรรม (in kind) ภายใต้วงเงินที่เหมาะสมและไม่เป็นภาระงบประมาณเกินความจำเป็น เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ของรัฐในการจัดการกับปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างยั่งยืน และมิให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายสร้างปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ต่อพี่น้องประชาชนกว่า 44 ล้านคน ต่อไป” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวทิ้งท้าย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นายกรัฐมนตรี ร่วมงาน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน 2566”

 

วันนี้ (6 กันยายน 2566) เวลา 11.45 น. ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กรุงเทพมหานคร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมงานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) รวมพลังคนไทยต่อต้านคอร์รัปชัน โดยมีนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันเข้าร่วม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านคอรัปชันร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกองค์กรทุกภาคส่วน
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า การปราบปรามการทุจริตและเรื่องความโปร่งใสของรัฐบาล เป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งของรัฐบาล และเป็น “หน้าที่” ของหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องสนับสนุน และปฏิบัติตาม อย่างไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ เป็นอันดับที่ 101 ของโลก ในด้านของดัชนีการรับรู้การทุจริต เป็นอันดับ 4 ของอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน นอกจากที่จะทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อภาครัฐแล้ว ยังทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เศรษกิจไทยถดถอย และมีผลต่อเนื่องไปสู่ปัญหาการขับเคลื่อน GDP ของประเทศอีกด้วย เพื่อที่จะขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชันให้หมดไป ทางรัฐบาลมีนโยบาย ทั้งด้านการใช้หลักนิติธรรม หรือ Rule of Law ที่เข้มแข็ง และนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในกระบวนการต่าง ๆ ของภาครัฐ ทำให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งจะช่วยพี่น้องประชาชนได้ทั้งความโปร่งใส และการให้บริการภาครัฐที่เร็วยิ่งขึ้น ใช้หลักนิติธรรมที่มั่นคงแข็งแรงมาจากระบบการเขียนกฎหมาย และการออกกฎหมายที่ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ และประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยกันกำหนดทิศทางและอนาคตของตัวเองและของประเทศ ปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดกระบวนการและเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เปลี่ยน “รัฐอุปสรรค” ให้เป็น “รัฐสนับสนุน” และป้องกันการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่เรียกรับเงินสินบนจากประชาชน
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นอกจากกฎหมายที่เข้มแข็งแล้ว รัฐบาลของเราจะให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษที่เฉียบขาดและครอบคลุม เจ้าหน้าที่รัฐในหลาย ๆ ตำแหน่งจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และในระดับสูงจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อแสดงความโปร่งใส และเปิดให้ประชาชนร่วมตรวจสอบการมีกฎหมายที่เข้มแข็ง เน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก  และการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใส ยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้นี้จะส่งเสริมความแข็งแกร่งและสร้างรากฐานของสังคมที่เคารพในกฎหมายร่วมกัน และขจัดการคอร์รัปชันให้หมดไปจากประเทศไทย ซึ่งนอกจากนิติธรรมที่มั่นคงแข็งแรงแล้ว เราจะนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อช่วยให้เราสามารถเกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ ตัวอย่าง นโยบายที่จะนำมาใช้ในอนาคตอันใกล้คือ
 
1) ใช้ระบบการจ่ายเงินภาครัฐผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เงินสด
2) เปิดให้ขอใบอนุญาตและการติดต่อราชการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และทำให้ขอได้โดย “ง่าย” เป็น One-stop service (พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565) 
3) ปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อป้องกันการทุจริต และเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบได้ตามแนวทาง Open Government
4) ปรับเปลี่ยนการบริหารประเทศของรัฐบาลให้เป็น Digital Government และปรับใช้เทคโนโลยีสำหรับระบบการอนุมัติ การอนุญาต การควบคุมตรวจสอบ เพื่อให้มีความโปร่งใส และลดการต้องใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้ติดต่อกับประชาชน
 
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานของรัฐบาล ปัญหาการคอร์รัปชันจะลดลง ความโปร่งใสและเป็นธรรมจะเพิ่มมากขึ้น และตามมาด้วยความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากประชาชนและนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบที่ดีต่อเศรษกิจของประเทศต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจากนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จำนวน 5 ข้อ ดังนี้
1. กำหนดให้การปราบปรามคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนทุกภาคส่วน
มีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน พร้อมมี War Room เพื่อการทำงานอย่างทันเหตุการณ์
2. สนับสนุนให้ ป.ป.ช. สตง. และ ป.ป.ท. ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ เป็นกลาง มีเอกภาพออกจากรัฐบาล
3. เร่งรัดการออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่ค้างคาอยู่ เช่น กฎหมายข้อมูลสาธารณะในความครอบครองของรัฐ กฎหมายปกป้องผู้เปิดโปงคอร์รัปชัน หรือกฎหมายป้องกันการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นต้น
4. ทุกหน่วยงานต้องพร้อมเปิดเผยข้อมูล นับจาก TOR ไปจนถึงสัญญาต่าง ๆ ในรูปแบบที่สามารถเชื่อมโยงกับ ACT Ai ตามมาตรฐานสากลได้อย่างโปร่งใสและถูกต้อง
5. แก้ไขกฎระเบียบราชการต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลปัญหาคอร์รัปชัน และเมื่อพบกรณีทุจริตคอร์รัปชัน ให้ติดตามแก้ไขลงโทษในทันที อย่าประวิงเวลาจนประชาชนลืม นอกจากนี้ ยังมีการตั้งวอร์รูมแก้ปัญหาเชิงรุก ปลุกพลังคนไทยร่วมตรวจสอบโครงการเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน ด้วยเว็บไซต์ “ACT Ai” “แค่สงสัยก็เสิร์ชเลย” องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จัดงาน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน 2566”

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News