Categories
SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ลงพื้นที่เขื่อนแม่กวง อ.ดอยสะเก็ด ดันโครงการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำ

 

วันนี้ (16 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี เดินทางไปรับฟังการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนแม่กวงอุดมธารา อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมติดตามลงพื้นที่ และมีพี่น้องชาวอำเภอดอยสะเก็ด รอให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

โดยอธิบดีกรมชลประทาน ได้รายงานข้อมูลถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ว่าแม้ช่วงนี้จะเข้าสู่ฤดูฝน แต่ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาเหนือเขื่อนยังปริมาณมีน้อย และไม่เพียงพอที่จะไหลเข้าสู่แหล่งกักเก็บน้ำในเขื่อน โดยขณะนี้มีปริมาณน้ำในเขื่อน 149 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 56 ของความจุเขื่อน ขณะที่เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มีความจุ 231 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 87 ของความจุเขื่อน

สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำ แม่งัด-แม่กวง ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จไปกว่าร้อยละ 78 คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในปี 2570 สามารถผันน้ำมาเต็มได้ 160 ล้านลูกบาศ์กเมตร และสามารถบริหารจัดการน้ำให้เกษตรกรทำนาปรังและส่งน้ำไปยังนิคมอุตสาหกรรมได้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้รับฟังปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน พร้อมรับจะผลักดันโครงการให้สำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ อีกทั้งได้กล่าวว่าจะมีการปล่อยพันธุ์ปลาที่เขื่อนแม่กวงเพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำและรักษาระบบนิเวศ

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปพบกับสภาเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ ประชาชนชาวอำเภอดอยสะเก็ดและอำเภอใกล้เคียงที่เข้ามาให้การต้อนรับ เพื่อให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในการบริหารประเทศ ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566

คลิกที่ภาพ

 

ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566
.
1.พิธา” ลาหัวหน้าก้าวไกล เปิดทางผู้นำฝ่ายค้าน “ศิริกัญญา” ลุ้น ชิงดำ “ณัฐวุฒิหัวหน้าพรรคสีส้มคนใหม่

2.เศรษฐา” ลุยแก้ปัญหา 4 เรื่องใหญ่เชียงราย ปลื้มย่ามชนเผ่า บอกสวยมาก

. 3.หมอชลน่าน” แจงนโยบายสาธารณสุข ผลักดันให้เห็นเป็นรูปธรรมใน 100 วันแรก ยกระดับ 30 บาทพลัส

4.ธรรมนัสลุย 3 จังหวัดชายแดนใต้ เร่งแก้ไขปัญหาเอกสารสิทธิ

5.. “เศรษฐา” ขอนักเรียน วปอ. ใช้คอนเนกชัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่เพื่อตนเอง

6.ป.ป.ช.ภาค 7 ขอเวลาตรวจสอบคดีฮั้วประมูลบริษัทกำนันนก ยอมรับจับตาดูมาพอสมควรแล้ว

7. ‘เศรษฐา’แย้ม ‘เบนซิน’มีสิทธิ์ลด ‘ค่าไฟ’ อาจต่ำกว่า 4.10 บาท

8.น้ำท่วมลิเบีย-เขื่อนแตก ราวสึนามิใช้เวลาแค่ 25 วินาทีถล่มเมือง อาจตายถึง 2 หมื่น

9. ไทเปตำหนิ “อีลอน มัสก์” “ไม่ได้มีไว้ขาย” หลังมหาเศรษฐีว่า ไต้หวันเป็นส่วนสำคัญของจีน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“หมอชลน่าน” สั่งปูพรมทั่วประเทศ สกัด “ ไข้หวัดใหญ่” หลังพบระบาดเพิ่ม 3 เท่า

 

    วันนี้ (14 ก.ย. 66)นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า ล่าสุดได้รับรายงานมีจำนวนผู้ป่วยมากถึง 138,766 ราย อัตราป่วยเพิ่มสูงถึงกว่า 200 รายต่อประชาการแสนราย หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ที่แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะมีเพียงแค่ 2 ราย ในจังหวัดสงขลาและนครราชสีมา ก็ตาม


          นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า การระบาดในรอบนี้ เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1 ซึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ มีการระบาดในโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่มีเด็กนักเรียนอยู่รวมกัน อาจมีการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกันได้ง่าย โดยข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า ในสัปดาห์ที่ 35 (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม–2 กันยายน) มีรายงานนักเรียนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 101 ราย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลําพูน จากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อ 5 ราย พบเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิด A 4 ราย (ร้อยละ 80) จึงได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคเตรียมพร้อมส่งทีมสอบสวนโรคปูพรมทุกโรงเรียนในชุมชน โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดสูงกว่าพื้นที่อื่น รวมถึงให้ทุกโรงพยาบาลเตรียมพรร้อมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย โดยขอให้บุคลากรสาธารณสุขทุกคนถือว่าเรื่องนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พม. จับมือ 9 หน่วยงาน พัฒนามาตรฐานเด็กปฐมวัย

 
    วันนี้ (14 ก.ย. 66) เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่องการใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติ ระหว่าง 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ” โดยมีนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ร่วมลงนาม MOU และนางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวรายงาน ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ

        นายวราวุธ กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่องการใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติ ระหว่าง 10 หน่วยงาน เป็นความร่วมมือในการนําเข้าข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนา เด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติให้ครบถ้วนสมบูรณ์และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากการบูรณาการฐานข้อมูลด้านเด็กปฐมวัย เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการบริหาร การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ให้มีความปลอดภัย รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม สามารถสนับสนุนการใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศร่วมกันได้ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยทุกมิติทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม และมีความพร้อม เข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษา นอกจากนี้ เป็นการบูรณาการข้อมูลผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยงาน โดยคํานึงถึงการคุ้มครองสิทธิข้อมูลรายบุคคลของหน่วยงานร่วมกัน

        นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับขอบเขตความร่วมมือครั้งนี้ หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานกํากับดูแลสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น มีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน ประสานงาน กํากับ ดูแลให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย นําเข้าข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติ (ระบบประเมินออนไลน์) ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน โดยระบบฐานข้อมูลดังกล่าว เป็นระบบที่นําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการติดตามประเมินผลการดําเนินงานตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ซึ่งมีการนําเข้าข้อมูลในระบบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 สําหรับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทั่วประเทศ ประมาณ 50,000 กว่าแห่ง และ ส่วนที่ 2 สําหรับเจ้าหน้าที่ต้นสังกัดในจังหวัด ผู้ปฏิบัติงานด้านเด็กปฐมวัย และผู้กํากับ ดูแล ติดตามการนําเข้าข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสารสนเทศการพัฒนาเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานชาติ จํานวน 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานสามารถร่วมใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลดังกล่าวได้ ด้วยการนําข้อมูลไปประกอบการจัดทํานโยบาย วิชาการ รวมถึงคําของบประมาณของหน่วยงาน เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริม และสนับสนุนการยกระดับคุณภาพตามาตรฐานของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 

        นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน หลายหน่วยงานมีภารกิจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกันในการพัฒนาเด็กเล็ก อายุ 0 – 6 ปี ซึ่งวันนี้ได้รับเกียรติจาก 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กทม. และทุกกระทรวง มาลงนามร่วมกันในการร่วมกันใช้ฐานข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานมี ทั้งนี้ ในบริบทการพัฒนาเด็กเล็กนั้น ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่า เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งการลงนามความร่วมมือครั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีการนำข้อมูลของแต่ละหน่วยงานมาแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นแนวทางการสร้างมาตรฐานดูแลเด็กเล็ก รวมทั้งเรื่องบุคลากรและสถานที่ เพื่อเด็กเล็กของประเทศไทย เติบโตอย่างมีคุณภาพ ถือว่าเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป และหวังเป็นอย่างยิ่งฐานข้อมูลที่มีความร่วมมือกันจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกหลานของคนไทยในอนาคต 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ค้านสร้างโรงไฟฟ้าขยะ พื้นที่ ต.ป่าหุ่ง หวั่นมลพิษ

 
วานนี้ (13 ก.ย. 66) ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย ประชาชนชาว ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย เข้ายื่นหนังสือ เรื่อง ขอคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง เพื่อขอพิจารณาออกคำสั่งระงับโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ขนาดกำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ งบประมาณก่อสร้างประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดมีผลกระทบกว่า 11 หมู่บ้าน ซึ่งมีพี่น้องชาวอำเภอพานมารวมตัวกันกว่า 200 คน
 
นางสาวอรวรรณ บุญปั๋น แกนนำกลุ่มผู้คัดค้าน กล่าวว่า มีนายทุนมากว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านไปกว่า 130 ไร่ โดยตอนแรกชาวบ้านไม่ทราบว่านายทุนจะนำไปก่อสร้างเป็นอะไร จนมาทราบในภายหลังว่ามีแผนจะก่อสร้างเป็นโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ ซึ่งคนในอำเภอพานไม่ได้ทราบข้อมูลเรื่องโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างทั่วถึง และพื้นที่ดำเนินการโครงการดังกล่าวอยู่ใกล้ชุมชน ใกล้วัดโบราณสถาน โรงเรียน แหล่งน้ำ พื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงหวั่นผลกระทบต่อวิถีชุมชน และกล่าวต่อไปว่าโรงไฟฟ้าขยะไม่ใช่สิ่งที่ชุมชนต้องการ ชุมชนรอบด้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องการจัดการขยะ ชาวบ้านสามารถจัดการกับขยะในชุมชนตนเองได้ ไม่ต้องการนำเข้าขยะจากภายนอกเข้ามาในชุมชน หากโรงไฟฟ้าขยะเกิดขึ้นมา ผลกระทบที่ตามมามากมายมหาศาลได้ จึงเข้ายื่นหนังสือคัดค้านดังกล่าว ฯ ให้จังหวัดเชียงรายได้รับทราบ และช่วยยุติโครงการ เพื่อพี่น้องประชาชนในอำเภอพาน
 
ในช่วงเวลาเดียวกันที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นางภัทราวดี สุทธิธนกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ นายอำเภอพาน นายก อบต.ป่าหุ่ง และตัวแทนชาวบ้าน จำนวน 5 คน เข้าร่วมให้ข้อมูลโครงการ ชี้แจงความเป็นมาของโครงการดังกล่าวฯ และข้อเรียกร้องของชาวบ้าน
 
หลังจากนั้นชาวบ้านลงมายื่นหนังสือร้องทุกข์ให้กับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงรายที่ด้านหน้าศาลากลางฯ ตามลำดับ โดยมีนายนายลิขิต มีเสรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับมอบหนังสือดังกล่าวฯ ตามลำดับ
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
BREAKING NEWS

ข่าวเด่นน่าติดตามวันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2566

คลิกที่ภาพ

ข่าวเด่นน่าติดตามวันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2566
.
1.สุริยะ’ รับปาก ปีใหม่ได้นั่งรถไฟฟ้า 20 บาท นำร่องสายสีแดง-ม่วง

2.นายกฯ เคลียร์ชัด ! แบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 รอบ ใครไม่ชอบก็ขอแบบเดิมได้

3.เศรษฐา’ ประกาศเพิ่มรายได้-ลดรายจ่ายปชช. กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เริ่ม ก.พ. 67

4.ตำรวจบางบัวทอง ปรับ 500 หลัง ไรเดอร์สู้ชีวิตแบกขน จยย.ส่งปลายทาง

5. เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เดินหน้านโยบายลดภาระครู-นักเรียน ผุดโครงการแจกแท็บเล็ต

6. ‘รมว.ยุติธรรม’ ลุยสอบคดีฮั้วประมูลทั่วประเทศ ลั่นไม่ควรจบที่ ‘กำนันนก’

7.รมว.พาณิชย์ เตรียมลดราคาสินค้าทั่วประเทศใน 15 วัน หลังรบ.ลดค่าพลังงาน

8. ลูกค้ากินซาดีนในร้านอาหารฝรั่งเศส ติดเชื้อโบทูลิซึมดับ 1 ป่วยอีก 12 ราย

9.ไฟไหม้อพาร์ตเมนต์ฮานอย ดับแล้ว 56 ศพ เจ็บอีกหลายสิบ

 

ติดตามข่าวได้ที่ นครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ สั่งกำชับดูการใช้เงิน ให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด

 

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 66 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 ซึ่งมีเรื่องสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ (72 พรรษา) 28 กรกฎาคม 2567 ให้สมพระเกียรติ และขอให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยได้มอบหมายให้ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองฯ
 
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้ศึกษาแนวทางการทำประชามติ โดยแนวทางให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมออกแบบกฎที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ และได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ โดยยึดเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ
 
ส่วนโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) นายกรัฐมนตรีได้ให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นเจ้าภาพ และกำหนดเวลานำเสนอโดยเร็วที่สุด พร้อมมอบหมายกระทรวงการคลัง หารือสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อเร่งจัดทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้กับประเทศ
 
นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดำเนินนโยบายเว้นการลงตราวีซ่าชั่วคราวสำหรับประเทศจีน และคาซักสถาน (VISA Free) รวมถึงการผ่อนปรนเงื่อนไข และขั้นตอนการเข้าประเทศสำหรับการจัดแสดงสินค้า และนิทรรศการ โดยให้มีผลบังคับใช้ภายใน 25 กันยายน 2566 เพื่อช่วยสร้างรายได้ และสร้างงานให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก
 
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กำหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยยุทธศาตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรี ประธาน โดยได้มอบหมายให้นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินการต่อไป
 
และนายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้ ทุกกระทรวง ทบทวนมติ ครม ก่อนหน้ารัฐบาลชุดนี้ ถ้าไม่มีการทักท้วงภายใน 25 กันยายน 2566 จะยกเลิก รวมทั้งสั่งการให้ทุกกระทรวงทบทวนคำสั่ง คสช. ที่เคยบังคับใช้ ถ้าไม่มีการทักท้วงภายใน 9 ตุลาคม 2566 จะยกเลิก โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ยึดหลัก ‘กฎหมายไม่เขียน ถือว่าทำได้’ เป็นหลักการ เพื่อส่งเสริมเสรีภาพ ประชาธิปไตย และอำนวยความสะดวกประชาชน
 
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมสำหรับปรากฏการณ์เอลนีโญ่ (El Nino) ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง 2-3 ปีจากนี้ โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นรายจังหวัด และมอบหมายให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะกรรมการ และให้ ดร. ปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ
 
ส่วนนโยบายด้านประมง นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกรรมการ และจัดตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูทะเลไทยเพื่อความยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมประมง โดยให้คำนึงถึงการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
 
นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำเสนอมาตรการลดราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟฟ้า และน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้มีผลโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคธุรกิจ
 
ในด้านนโยบายสาธารณสุข ได้มอบหมายให้ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกระดับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค) โดยให้มีผลโดยเร็วที่สุด เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขมีความทันสมัยขึ้น มีประสิทธิภาพและคุณภาพในการดูแลประชาชนที่ดีขึ้น
 
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินนโยบายพักหนี้เกษตรกร และหนี้ของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 โดยมีกรอบระยะเวลาไม่เกิน 14 วัน เพื่อนำเสนอแนวทางการดำเนินนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี
 
และเพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติสั่งการให้กรมบัญชีกลางเร่งศึกษารายละเอียด และกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน ให้มีผลภายในวันที่ 1 มกราคม 2567
 
นายกรัฐมนตรีย้ำถึงความเอาจริง เพื่อให้ปัญหาผู้มีอิทธิพล อาวุธปืน ยาเสพติด และการซื้อขายตำแหน่งหมดไปอย่างเด็ดขาด จากที่เคยมีการสั่งการหลายครั้งเรื่องอาวุธปืน แต่ไม่ปรากฏผล โดยได้มอบหมายให้นาย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการจัดตั้งทีมทำงาน และกำหนดเวลาการนำเสนอโดยเร็วที่สุด โดยผู้ครอบครองอาวุธปืนและอาวุธอื่นๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ให้นำมามอบแก่ทางราชการที่สถานนีตำรวจที่มีภูมิลำเนาภายใน 30 วัน และหากอาวุธปืนมีทะเบียนถูกต้อง หากจำเป็นต้องพกพา ให้ดำเนินการขออนุญาตพกพาภายใน 30 วัน ตั้งแต่บัดนี้ไป
 
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับ และขอให้คณะรัฐมนตรีกำกับดูแลการใช้เงินนอกงบประมาณในการไปดูงานต่างๆ ให้มีความเหมาะสม และได้ขอให้ปรับลดขนาดขบวนเดินทางของนายกรัฐมนตรี และผู้ติดตาม เพื่อให้มีผลกระทบกับประชาชนในทุกท้องที่ให้น้อยที่สุดอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“กรุงไทย” BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023

 

ธนาคารกรุงไทยร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 โชว์ศักยภาพการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ชูบริการ “PromptBiz” ตอบโจทย์การทำธุรกิจจนถึงซัพพลายเชน  และ “เป๋าตัง” ซูเปอร์แอปฯ ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน

ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทันสมัยอย่างทั่วถึง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นได้ในทุกวัน โดยธนาคารเข้าร่วมงาน BOT Bangkok Digital Finance Conference 2023 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Building Ecosystem for Responsible Innovation  หรือ การพัฒนาระบบนิเวศการเงินดิจิทัลอย่างรับผิดชอบ ระหว่างวันที่ 14-15 กันยายน 2566 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ภายในงาน ธนาคารตอกย้ำศักยภาพบริการทางการเงินดิจิทัลด้วยแนวคิด “Empower Infinite Innovation for All Thais” โดยนำเสนอบริการ “PromptBIZ” ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม Krungthai BUSINESS  ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการทำธุรกรรมการค้าและการชำระเงินรูปแบบดิจิทัล ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ในที่เดียว ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน จัดการเอกสารการค้าได้ครบวงจร พร้อมจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการทำรายการหักและนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายอัตโนมัติ โดยไม่ต้องออก 50 ทวิให้กับคู่ค้า ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวก รวดเร็วภายใต้ต้นทุนที่เป็นธรรม

ธนาคารยังนำเสนอศักยภาพของ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซูเปอร์แอปฯ ที่ถูกพัฒนาเป็น  Thailand Open Digital  Platform เปิดกว้างให้ประชาชนทุกคนใช้บริการได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงไทย เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐ ผ่าน G-Wallet  และปฏิวัติการลงทุนของประเทศ ทั้งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ผ่านบริการ “วอลเล็ต สบม.” บริการซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัล บริการซื้อขายทองคำ ผ่าน “Gold Wallet” พร้อมบริการด้านสุขภาพ  ผ่าน “Health Wallet” เชื่อมต่อกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ให้ประชาชนตรวจสอบและเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพ

นอกจากนี้ บริษัท อะไรส์ บาย อินฟินิธัส จำกัด (Arise by Infinitas) องค์กรสำหรับคนดิจิทัล ได้นำเสนอโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพัฒนาตนเอง ด้วย Program Talent Incubator ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับคนไทยทั้งประเทศ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยให้คนไทยมีประสบการณ์การใช้บริการดิจิทัลที่ดี  ภายใต้แนวคิด Make Digital Life Possible for ALL

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารกรุงไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ธรรมนัส ย้ำชัด! ต้องขับเคลื่อนนโยบาย ของรัฐบาลด้านการเกษตร

 

 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายขับเคลื่อนงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวรายงาน มีคณะผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วม ณ ห้องประชุมธารทิพย์ 01 ชั้น 4 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทานสามเสน พร้อมนี้ ได้เปิดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลออนไลน์ Application Zoom และทาง Facebook Live กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และต่างประเทศ รวมกว่า 7,300 คน ตลอดจนสื่อมวลชนรับฟังอย่างทั่วถึง


                  โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความสำคัญอย่างมากในการดูแลพี่น้องเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ให้อยู่ดีมีสุข มีรายได้อย่างมั่นคง ภาคเกษตรไทย จะต้องแข็งแกร่ง มีศักยภาพการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือดีกว่าสินค้าเกษตรต่างประเทศ โดยมีนโยบายและงานหลักสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการแรกคือ การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านการเกษตร ที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงเมื่อวันที่ 11-12 กันยายน 2566 ไปสู่การปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ


                   นอกจากนี้ ยังมีนโยบายและงานสำคัญที่จะเร่งผลักดันดำเนินการในประเด็นต่างๆ ดังนี้
                 เน้นการสร้างวิธีการทำงานสู่การปฏิบัติ ได้แก่ 1)การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนภาคการเกษตรโดยเป็นศูนย์บริการร่วม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และพี่น้องเกษตรกร เพื่อให้สามารถติดต่อสอบถาม ขอทราบข้อมูล และรับเรื่องร้องเรียน คลายทุกข์ให้แก่พี่น้องเกษตรกร ณ ศูนย์บริการร่วมเพียงแห่งเดียว 2) สร้างครอบครัวเกษตร บูรณาการงานเข้มแข็งเน้นการทำงานของทุกคนทุกหน่วยงาน ต้องทำงานเป็น Team Work ให้มีศักยภาพเพื่อการทำงานระบบทีมมีประสิทธิภาพ มุ่งมั่น ร่วมแรงร่วมใจบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จ3) ขับเคลื่อนภารกิจ ยกระดับ MR. สินค้าเกษตรโดยฟื้นฟู ยกระดับการทำงานของ MR. สินค้าเกษตร อีกครั้ง สินค้าเกษตรทุกชนิดต้องมีผู้รับผิดชอบ เน้นทำงานเชิงรุก สร้างกลไกการทำงานร่วมกันในทุกสินค้า แก้ปัญหาถูกจุด ทั้งด้านสินค้าล้นตลาด ราคาตกต่ำ การลักลอบนำเข้าแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง


                การรับมือภัยธรรมชาติจะต้องวางแผนมาตรการต่างๆ อย่างชัดเจน รับมือตั้งแต่การป้องกัน การแก้ไข และการฟื้นฟู เมื่อประสบเหตุภัยแล้ง หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติทุกชนิด


                ปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมาโดยถือเป็นการประกาศสงครามสินค้าเกษตรเถื่อนอย่างจริงจัง เข้มงวดยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ เข้มงวดในการตรวจสอบสต็อกในประเทศเพื่อควบคุมในการนำเข้า การกักตุน และเก็งกำไร โดยเฉพาะช่วงก่อนที่ผลผลิตออกสู่ตลาด


                ยกระดับสินค้าเกษตร เสริมศักยภาพเกษตรกรได้แก่ 1) ผลักดันส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรสร้าง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง เนื่องจากภาคเกษตรเป็นภาคเศรษฐกิจหลักสำคัญ มีประชากรอยู่ในภาคเกษตรจำนวนมาก แต่ยังขาดการพัฒนาที่เหมาะสม เกษตรกรบางส่วนยังทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่จึงมีรายได้น้อย จึงเน้นแนวทางในการปรับเปลี่ยนไปสู่การปลูกพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้น


2) ส่งเสริมเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร (Agricultural Service Provider) โดยเกษตรกร สถาบันเกษตรกรสามารถเป็นเจ้าของเครื่องมือเครื่องจักรกลของตนเองพร้อมเป็นผู้ให้บริการด้านธุรกิจเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มประชากรภาคเกษตรยุคใหม่


            การจัดการทรัพยากรทางการเกษตรทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Go Green)  ด้วย BCG / Carbon Credit จะต้องทำการเกษตรที่ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม การกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ถูกต้อง การลดปริมาณปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง มีการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย


             การอำนวยความสะดวกด้านการเกษตร  ได้แก่ 1)พัฒนาระบบการประกันภัยภาคการเกษตรซึ่งเป็นอีกหนึ่งในนโยบายสำคัญของการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน บริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน โดยจะเดินหน้าต่อยอด พัฒนาสร้างระบบประกันภัยให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทย และ2) อำนวยความสะดวก สนับสนุนให้บริการเครื่องมือทางการเกษตรที่ให้เกษตรกรสามารถเช่า/ยืม เครื่องมือเครื่องจักรกลด้านการเกษตรที่เหมาะสมต่อการการผลิต


                “ผมมีความภาคภูมิใจ ที่ได้กลับมาทำงาน และรับใช้พี่น้องเกษตรกรอีกครั้ง ซึ่งแนวทางการทำงาน และนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ผมจะขับเคลื่อนและผลักดันนั้น จะไม่ใช่มีเพียงนโยบายที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีอีกหลายนโยบายและแนวทางปฏิบัติต่างๆ ที่จะครอบคลุม เพื่อช่วยเหลือ ช่วยแก้ปัญหาพี่น้องเกษตรกร และพัฒนาภาคเกษตรซึ่งทุกนโยบายและทุกการทำงานจะเป็นไปอย่างจริงจัง เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนและต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจทำงานอย่างบูรณาการทีมเวิร์ค แบบครอบครัวไปด้วยกัน เพื่อพี่น้องเกษตรกรกินดี อยู่ดี มีรายได้ มีอาชีพที่มั่นคง สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ทรัพยากรเกษตรยั่งยืน และภาคเกษตรไทยคือผู้นำสินค้าเกษตรในตลาดโลก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าว


             ด้านนายไชยาพรหมารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่าจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบนโยบายนั้นครบถ้วนทุกประการการทำงานของพวกเราทุกคนคงสบายใจที่เราถึงแม้จะมาจากต่างพรรคแต่พวกเราก็มีเป้าหมายเดียวกันจะทำงานร่วมกันแบบบูรณาการมีเป้าหมายในการให้บริการประชาชนให้ขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จแต่ถ้าปราศจากฟันเฟืองในการขับเคลื่อนของกระทรวงก็จะไม่สามารถบรรลุได้จึงขอให้ทุกท่านทำงานร่วมกันด้วยความสบายใจ


    นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณกล่าวว่าพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายต่างๆที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายซึ่งนับว่าเป็นนโยบายที่ดีครอบคลุมสนองงานนโยบายรัฐบาลสำหรับนโยบายการทำงานแบบบูรณาการในหน่วยงานให้เป็นครอบครัวเกษตรนั้นถือเป็นการสร้างมิติใหม่ที่จะขับเคลื่อนพัฒนาภาคเกษตรให้พี่น้องเกษตรกรมีชีวิคความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นรายได้เพิ่มขึ้นทั้งนี้ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันสนองงานนโยบายรัฐบาลและขอขอบคุณทุกท่านไว้ล่วงหน้าที่จะร่วมมือกับขับเคลื่อนงายไปสู่เป้าหมาย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ลงนาม MOU ส่งเสริมการปลูกกาแฟ ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”

 

 นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง การส่งเสริมการปลูกกาแฟ ภายใต้นโยบายตลาดนำการผลิต ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยมี นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) ร่วมลงนามพร้อมด้วย นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า 

 

“การลงนาม MOU ในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และขยายพื้นที่การปลูกกาแฟให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน โดยมีการสนับสนุน การศึกษา และพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตกาแฟให้มีปริมาณผลผลิตและมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล รวมทั้งให้เกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชจากแบบเชิงเดี่ยวมาเป็นการปลูกพืชแบบผสมผสานร่วมกับกาแฟ ซึ่งถือเป็นเกษตรกรรมแบบยั่งยืน สามารถช่วยลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกป่า และลดปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดความร่วมมือด้านการตลาดในการรับซื้อผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพของเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกกาแฟอย่างครบวงจร ตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบแนวทางการดำเนินงานไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้ สร้างโอกาส และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”

 


     ด้าน นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการส่งเสริมและสนับสนุนการขยายพื้นที่ปลูกกาแฟ โดยปรับเปลี่ยนเป็นการเกษตรแบบผสมผสานร่วมกับกาแฟ เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตกาแฟให้มีปริมาณผลผลิตและมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลผลิตกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้ากาแฟได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือด้านการตลาด โดย คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) จะสนับสนุนการรับซื้อผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพตามมาตรฐานจากเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุน การปลูกกาแฟ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ OR ที่มุ่งให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสและสร้างคุณค่าแก่ผู้คนโดยไม่ทิ้งใครไว้ ข้างหลังตลอดห่วงโซ่การดำเนินธุรกิจ

 

     รวมทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน OR SDG ทั้งในด้าน “S” หรือ “SMALL” ที่มุ่งเน้น การให้โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก ด้วยการส่งเสริมพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ด้าน “D” หรือ “DIVERSIFIED” เพิ่มโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (More Partners, Products and Services) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกัน รวมทั้งในด้าน “G” หรือ “GREEN” ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ตามเป้าหมาย OR 2030 Goals ซึ่งตอกย้ำวิสัยทัศน์ “Empowering All Toward Inclusive Growth” เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกันอย่างแท้จริง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News